บทความ
การจัดการรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นโดยเทคนิคเรซินอินฟิลเทรชัน
รอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น (Initial carious lesion) หรือรอยโรคจุดขาว (White spot lesion) เกิดจากความไม่สมดุลของการสูญเสียแร่ธาตุ (Demineralization) และการคืนกลับแร่ธาตุ(Remineralization) โดยรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นจะมีการสูญเสียแร่ธาตุของชั้นเคลือบฟัน (Enamel) แต่ยังไม่มีการสูญเสียโครงสร้างในชั้นเคลือบฟันจนเกิดเป็นโพรงฟันผุ สาเหตุของการเกิดโรคฟันผุระยะเริ่มต้นมีหลายปัจจัย (Multifactorial factor) ได้แก่ มนุษย์ (Host) เชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) อาหาร (Diet) และระยะเวลา (Time) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดสภาวะความเป็นกรดที่รบกวนสมดุลกรดด่างภายในช่องปาก มีผลทำให้ชั้นเคลือบฟันเกิดการสูญเสียแร่ธาตุ หากไม่ได้รับการรักษาหรือแก้ไขสภาวะดังกล่าวชั้นเคลือบฟันจะมีการสูญเสียแร่ธาตุมากขึ้น นำไปสู่การเกิดรูพรุนที่เพิ่มขึ้นเกิดเป็นรอยโรคฟันผุที่มีความรุนแรงและเป็นโพรงฟันผุได้ (Cavitated carious lesion)
การจัดรอยโรคฟันผุมีหลากหลายวิธี โดยในหลายปีที่ผ่านมาแนวทางการรักษารอยโรคฟันผุมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เน้นการรักษาแบบบูรณะแก้ไข (Restorative treatment) เช่น การอุดฟัน การทำครอบฟัน เป็นแนวทางการรักษารอยโรคฟันผุที่เน้นการรักษาเชิงป้องกัน (Preventive treatment) หรือการรักษาแบบไม่รุกล้ำ (Non-invasive treatment) มากขึ้น ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือ การตรวจหารอยโรคฟันผุให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำการรักษาแบบไม่รุกล้ำให้สูญเสียโครงสร้างฟันให้น้อยที่สุด ลดการสูญเสียแร่ธาตุ และหยุดการลุกลามของรอยโรคฟันผุได้
การรักษาเชิงป้องกันหรือการรักษาแบบไม่รุกล้ำของรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นมีหลายวิธี เช่น การดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก (Oral hygiene) ร่วมกับการเพิ่มการคืนกลับแร่ธาตุด้วยฟลูออไรด์ (Fluoride) หรือเคซีนฟอสโฟเปปไทด์อะมอร์ฟัสแคลเซียมฟอสเฟตหรือซีพีพี-เอซีพี (Casein phosphopeptide amorphous calcium phosphate, CPP-ACP) และอีกวิธีคือการทำเคลือบหลุมร่องฟัน (Sealant) ด้านบดเคี้ยวของฟัน นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือการทำเรซินอินฟิลเทรชั่น (Resin infiltration) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยรักษารอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น โดยจะทำหน้าที่เติมเต็ม (Fill) เสริมความแข็งแรง (Reinforce) และสร้างความเสถียร (Stabilize) ของเคลือบฟันที่เกิดการสูญเสียแร่ธาตุ (1)
รอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น
รอยโรคฟันผุเกิดจากแบคทีเรียสร้างกรดจากอาหารทำให้เกิดการสูญเสียแร่ธาตุของผิวเคลือบฟัน เมื่อมีการสูญเสียแร่ธาตุมากกว่าการคืนกลับแร่ธาตุทำให้เกิดการเสียสมดุล เกิดการละลายของผิวเคลือบฟัน โดยเริ่มจากบริเวณพื้นผิวด้านใต้ (Subsurface) ทำให้มีรูพรุนในชั้นผิวเคลือบฟันมากขึ้น ลักษณะทางคลินิกของรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น จะพบรอยสีขาวขุ่นที่ผิวเคลือบฟันซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความโปร่งแสง (Translucency) ของเคลือบฟันจากการสูญเสียแร่ธาตุ ซึ่งปกติเคลือบฟันมีค่าดรรชนีหักเหแสง (Refractive index, RI) ประมาณ 1.62 กรณีเกิดสูญเสียแร่ธาตุทำให้เกิดรูพรุนใต้ผิวเคลือบฟัน โดยถ้ารอยโรคสัมผัสกับน้ำลายจะมีค่าดรรชนีหักเหแสงเท่ากับ 1.33 กรณีที่ทำให้รอยโรคแห้งจะมีผลให้อากาศเข้าไปแทนที่น้ำในรูพรุน จะทำให้มีค่าดรรชนีหักเหแสงที่ 1.0 ยิ่งมีความแตกต่างของดรรชนีหักเหแสงมากขึ้นยิ่งทำให้เห็นรอยสีขาวขุ่นบนฟันชัดเจน (2)
วิธีการรักษาแบบเรซินอินฟิลเทรชัน
การรักษาด้วยเรซินอินฟิลเทรชันเป็นเทคนิคใหม่ โดยอาศัยหลักการแพร่ของแรงแคปปิลารี่ (Capillary force) โดยใช้วัสดุเรซินความหนืดต่ำที่มีปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์แบบใช้แสงเป็นตัวกระตุ้นเข้าไปเติมเต็มในรูพรุนของเคลือบฟันที่เกิดการสูญเสียแร่ธาตุ โดยจะสามารถหยุดการดำเนิน (Arrested) ของรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นได้ โดยเป้าหมายของเรซินอินฟิลเทรชันคือ การเติมเต็มรูพรุนภายในรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น เริ่มจากการใช้กรดกัดบริเวณรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นเพื่อให้เกิดการสูญเสียหรือละลายแร่ธาตุในชั้นเซอร์เฟสโซนออก เพื่อให้สารเรซินความหนืดต่ำแพร่ลงไปชั้นบอดี้ออฟลีชันได้อย่างเต็มที่ จากนั้นใช้เอทานอลเป็นตัวกำจัดน้ำให้ออกจากเคลือบฟัน แล้วจึงใส่สารเรซินความหนืดต่ำเพื่อให้แพร่ผ่านลงไปอุดรูพรุนที่เกิดขึ้นด้านในของรอยโรค เรซินจะเข้าไปแทนที่อากาศในรูพรุนของเคลือบฟันในรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้น จึงสามารถทำให้หยุดการดำเนินของรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นได้ โดยมีรายงานการศึกษา พบว่า การทำเรซินอินฟิลเทรชันจะทำให้ชั้นเคลือบฟันที่เกิดการสูญเสียแร่ธาตุมีค่าความแข็งแรงระดับจุลภาค (Microhardness) เพิ่มขึ้น (3,4) นอกจากนี้ยังพบว่าฟันที่ผ่านการทำเรซินอินฟิลเทรชันจะมีความขรุขระ (Roughness) ที่น้อยลงด้วย (5) รายงานการศึกษาของ Belli R และคณะ (6) พบว่า ฟันที่ผ่านการทำเรซินอินฟิลเทรชันจะทนต่อการสึกกร่อนจากการแปรงฟันได้ดี ยังมีรายงานรายศึกษาของ Wiegand A และคณะ (7) พบว่าการทำเรซินอินฟิลเทรชันแล้วตามด้วยการทาสารยึดติดจะไม่ส่งผลต่อแรงยึดติดในชั้นเคลือบฟัน แต่การศึกษาของ Jia L และคณะ (8) กลับพบว่า การปนเปื้อนของสารเรซินอินฟิลเทรชันที่เข้าไปในชั้นเนื้อฟัน จะส่งผลทำให้การยึดติดในชั้นเนื้อฟันมีค่าต่ำลง
นอกจากนี้เรซินอินฟิลเทรชันยังช่วยในเรื่องความสวยงามอีกด้วย โดยอาศัยหลักการการลดการกระจายของแสง (Light scatter) (รูปที่ 1) เนื่องจากค่าดัชนีการหักเหของแสงของเคลือบฟันที่มีการแทรกซึมด้วยสารเรซินมีค่าเท่ากับ 1.46-1.65 ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับค่าดัชนีการหักเหของแสงของผิวเคลือบฟันปกติ (RI = 1.62) จึงส่งผลให้ช่วยปรับสีบริเวณรอยโรคให้ดูกลมกลืนกับผิวเคลือบฟันธรรมชาติได้ (2) มีรายงานการศึกษาของ Hammad SM และคณะ (9) Knösel M และคณะ (10) พบว่าการทำเรซินอินฟิลเทรชันในฟันหน้าแท้ (Permanent anterior teeth) จะให้ผลสำเสร็จทางด้านความสวยงามทันทีหลังจากที่ทำเรซินอินฟิลเทรชัน ยังมีการศึกษาแนะนำให้ใช้เรซินอินฟิลเทรชันเป็นทางเลือกในการรักษารอยโรคฟันผุในระยะเริ่มต้นที่ต้องการความสวยงาม (11) นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นทางเลือกในการรักษาฟันผุในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่เป็นโพรงในด้านประชิดได้อีกด้วย
รูปที่ 1 ดัชนีหักแหของแสงในรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นที่มีการแทรกซึมของเรซินอินฟิลแทรนท์
หลักการทำงานและส่วนประกอบของเรซินอินฟิลเทรชัน
เรซินอินฟิลเทรชันมีชื่อผลิตภัณฑ์ทางการค้า คือ ไอคอน (Icon, DMG, Hamburg, Germany) ที่พัฒนาโดยประเทศเยอรมนี มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ สำหรับใช้ในด้านผิวเรียบและใช้ในบริเวณด้านประชิด โดยในชุดผลิตภัณฑ์ไอคอนจะประกอบไปด้วย กรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid) เข้มข้นร้อยละ 15เอทานอล (Ethanol) เข้มข้นร้อยละ 99 และเรซินอินฟิลแทรนท์ (Resin infiltrant)
ผลิตภัณฑ์ไอคอนใช้กรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นร้อยละ 15 แทนการใช้กรดฟอสฟอริกเข้มข้นร้อยละ 37 ดังที่ใช้ในการบูรณะฟันด้วยเรซินคอมโพสิต เนื่องจากมีรายงานการศึกษาว่ากรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นร้อยละ 15 มีความสามารถในการกัดเคลือบฟันได้ลึกถึง 58 ไมโครเมตร ซึ่งลึกกว่ากรดฟอสฟอริกที่สามารถกัดชั้นเคลือบฟันได้ลึกเพียง 25 ไมโครเมตร ดังนั้นกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นร้อยละ 15 จึงมีความสามารถในการกัดชั้นเซอร์เฟสโซนออกได้ เนื่องจากชั้นเซอร์เฟสโซนเป็นชั้นที่มีความลึกประมาณ 30 ไมโครเมตร ซึ่งชั้นดังกล่าวนี้อาจทำให้เกิดการขัดขวางต่อการแพร่ของสารเรซินความหนืดต่ำลงสู่ชั้นบอดี้ออฟลีชันของรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นได้ (12)
เอทานอลเข้มข้นร้อยละ 99 มีความสามารถในการกำจัดน้ำของจากเคลือบฟัน โดยจะทำการเปลี่ยนสภาพของเคลือบฟันที่มีความชอบน้ำ (Hydrophilic) เป็นเคลือบฟันที่ไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ทำให้มีพลังงานพื้นผิว (Surface energy) บริเวณเคลือบฟันเพิ่มขึ้น ทำให้เรซินความหนืดต่ำสามารถเกิดการแพร่เข้าไปในบริเวณรอยโรคฟันผุได้ดีขึ้น นอกจากนี้การใช้ความเข้มข้นของเอทานอลที่สูงจะสามารถป้องกันการแยกชั้น (Phase separation) ของเรซินที่ไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic resin) ได้อีกด้วย
สารเรซินอินฟิลแทรนท์ความหนืดต่ำที่ใช้ คือ สารไตรเอททิลลีนไกลคอลไดเมทาคริเลตหรือเทคดีม่า (Triethylene glycol dimethacrylate, TEGDMA) โดยมีสมบัติที่ดี คือ ควรมีความหนืดต่ำ (Low viscosity) มุมสัมผัสต่ำ (Low contact angle) มีค่าดัชนีหักเหแสงใกล้เคียงผิวเคลือบฟัน และที่สำคัญคือมีความสามารถในการแพร่ได้ดี โดยสารเรซินอินฟิลแทรนท์มีความสามารถที่จะแพร่ลงไปในส่วนรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นได้มากกว่า 100 ไมโครเมตร (13) มีรายงานการศึกษาของ Araujo GS และคณะ (14) พบว่าการเติมสารเรซินที่ไม่ชอบน้ำตัวอื่น ๆ และเอทานอลในสัดส่วนต่าง ๆ กันผสมลงในสารเทคดีม่าไม่ได้ทำให้เกิดการแพร่ของสารเรซินอินฟิลแทรนท์ที่ลึกขึ้น Meyer-Lueckel H และคณะ (15) พบว่าการใช้สารเทคดีม่าเป็นสารเรซินอินฟิลแทรนท์จะทำให้เกิดการแพร่ของสารลงในรอยโรคฟันผุระยะเริ่มต้นได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากที่ทำเรซินอินฟิลเทรชันเสร็จแล้วให้ทำการขัดด้วยถ้วยยาง (Rubber cup) ร่วมกับพัมมิส (Pumice) โดยการศึกษาของ Paris S และคณะ (16) พบว่าการขัดภายหลังจากการทำเรซินอินฟิลเทรชันจะช่วยป้องกันการติดคราบสีต่าง ๆ ได้