บทความ
ปากอักเสบเหตุฟันเทียม(Denture stomatitis)
ปากอักเสบเหตุฟันเทียมมีศัพท์ในภาษาอังกฤษหลายคำ ได้แก่ denture stomatitis (DS), denture-induced stomatitis, denture-related stomatitis, denture sore mouth, denture-associated erythematous candidiasis, chronic atrophic candidiasis และ chronic erythematous candidiasis หากเรียกชื่อตามการจัดกลุ่มโรคราแคนดิดาในช่องปาก (oral candidiasis) ที่ใช้ในปัจจุบันจะใช้ชื่อเป็น Candida-associated denture-induced stomatitis หรือ Candida-associated denture stomatitis เป็นรอยโรคที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 30-60 ของผู้ใส่ฟันเทียมถอดได้1-3 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในอาสาสมัครชาวไทยที่ใส่ฟันเทียมถอดได้พบความชุกของโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมร้อยละ 33.44 และมีรายงานว่าร้อยละ 65 ของผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียมทั้งปากเป็นโรคนี้2 แม้ว่าปากอักเสบเหตุฟันเทียมจะเป็นรอยโรคที่พบได้บ่อยแต่สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างแน่ชัด ในปัจจุบันเชื่อว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการเกิดโรคหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยเฉพาะที่ (local factor) และปัจจัยทั่วกาย (systemic factor) ของผู้ป่วย ได้แก่ การติดเชื้อแคนดิดา การติดเชื้อแบคทีเรีย การบาดเจ็บจากฟันเทียม การมีอนามัยช่องปากและอนามัยฟันเทียม (denture hygiene) ไม่ดี อายุและชนิดของฟันเทียม น้ำลาย การสูบบุหรี่ และสภาวะทั่วกาย (systemic condition) ที่ส่งผลให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันลดลง5
ปากอักเสบเหตุฟันเทียมมีลักษณะทางคลินิกเป็นรอยโรคสีแดงขอบเขตชัดเจนที่เยื่อเมือกช่องปากบริเวณที่สัมผัสกับฐานของงานทันตกรรมประดิษฐ์ชนิดถอดได้ ได้แก่ ฟันเทียม เครื่องมือจัดฟัน (orthodontic appliance)5-6 รวมถึงแผ่นปิด (obturator)7 รอยโรคมีความรุนแรงแตกต่างกันและมีการจัดกลุ่มของปากอักเสบเหตุฟันเทียมตามลักษณะทางคลินิกโดย Newton ซึ่งรายงานในปี ค.ศ. 19628 แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดที่หนึ่งหรือระยะแรกจะพบจุดเลือดคั่งขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุดในบางตำแหน่ง ชนิดที่สองจะพบรอยแดงและการบวมกระจายทั่วไปในบริเวณเยื่อเมือกที่สัมผัสกับฐานฟันเทียม รอยโรคจะมีขอบเขตชัดเจนและมักพบร่วมกับมุมปากอักเสบ (angular cheilitis) หากไม่ได้รับการรักษาโรคจะดำเนินต่อไปและมีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นชนิดที่สาม ซึ่งจะเกิดการตอบสนองแบบเจริญเกิน (hyperplasia) ทำให้เกิดลักษณะรอยโรคยื่นนูนเป็นปุ่มขนาดเล็กบริเวณกลางเพดานปากร่วมกับพบการฝ่อหรือลีบของเยื่อเมือกช่องปาก5,9
ตารางแสดงการจัดกลุ่มรอยโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมตามลักษณะทางคลินิก10
รอยโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมมักไม่มีอาการเจ็บปวดแม้ว่าจะพบรอยแดงจัดปรากฏที่เยื่อเมือกช่องปาก อย่างไรก็ตามมีรายงานพบว่าในผู้ป่วยบางรายอาจพบอาการเจ็บเล็กน้อยหรือมีอาการแสบร้อนที่บริเวณรอยโรคได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยปากอักเสบเหตุฟันเทียมบางรายจะมีรอยโรคมุมปากอักเสบร่วมด้วยโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ5 รายงานพบว่าร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีรอยโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมจะพบรอยโรคมุมปากอักเสบ5 ซึ่งอาการของมุมปากอักเสบมักจะเป็นอาการนำ (chief complaint) ที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบทันตแพทย์มากกว่าปากอักเสบเหตุฟันเทียมที่ผู้ป่วยไม่มีอาการและทำให้ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อและมีรอยโรคเกิดขึ้น10 รอยโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมควรให้การวินิจฉัยแยกโรคกับ แผลบาดเจ็บ (traumatic ulcer) การบาดเจ็บจากความร้อน ไลเคนแพลนัส (lichen planus) ไลเคนอยด์ (lichenoid) ปฏิกิริยาภูมิแพ้ (allergic reaction) และลูพัสอีริทีมาโทซัส (lupus erythematosus)2
การวินิจฉัยโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมจะใช้อาการและอาการแสดงทางคลินิก รวมถึงประวัติของผู้ป่วยและการตรวจหาปัจจัยชักนำให้เกิดโรค เป็นข้อมูลหลักในการวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษา และใช้การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการด้านต่าง ๆ ได้แก่ การตรวจทางจุลชีววิทยา (microbiology) เพื่อเป็นการตรวจหาเชื้อ ตรวจหาปริมาณเชื้อ การระบุชนิดพันธุ์ และการตรวจหาความไวต่อยา (drug susceptibility) รวมถึงการตรวจทางพยาธิวิทยาเนื้อเยื่อในบางกรณี นอกจากนี้การตรวจทางโลหิตวิทยา (hematology) และการตรวจทางชีวเคมี (biochemistry) อาจมีความจำเป็นเพื่อตรวจหาปัจจัยทั่วกายที่เป็นปัจจัยชักนำให้เกิดโรคราแคนดิดาในช่องปาก เช่น ภาวะขาดสารอาหารและวิตามิน ภาวะเลือดจาง (anemia) และโรคเบาหวาน รวมถึงการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี (human immunodeficiency virus; HIV) ซึ่งจะเป็นข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยโรคและการรักษา
การรักษาโรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมควรเริ่มต้นจากการตรวจหาและแก้ไขหรือกำจัดปัจจัยชักนำให้เกิดโรคทั้งปัจจัยเฉพาะที่และปัจจัยทั่วกายในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งได้จากการซักประวัติและการตรวจผู้ป่วยรวมถึงการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ2,5 นอกจากนี้จะต้องมีการกำจัดเชื้อก่อโรคจากรอยโรคหรือฟันเทียมด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา (antifungal drug) การใช้สารระงับเชื้อและสารฆ่าเชื้อ การใช้สารทำความสะอาดฟันเทียม และการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือของผู้ป่วยในการควบคุมคราบจุลินทรีย์ (dental plaque) โดยการปรับเปลี่ยนอนามัยในการดูแลช่องปากและการใช้ฟันเทียม11 รวมถึงมีการนำสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดมาพัฒนาใช้เป็นการรักษาทางเลือก โดยวิธีการดังกล่าวมุ่งเน้นการกำจัดแผ่นคราบชีวภาพ (biofilm) ของเชื้อแคนดิดาในช่องปากและฐานฟันเทียมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อโรค10