บทความ
แผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนและสารเคมี
(Thermal and chemical injuries/burns)
แผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนเป็นการบาดเจ็บของเยื่อเมือกช่องปากที่เกิดจากการสัมผัสกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อนเกินไป หรือการบาดเจ็บเหตุหมอทำ (iatrogenic) จากการใช้เครื่องมือทางทันตกรรมที่ร้อนมาสัมผัสกับเยื่อเมือกช่องปากของผู้ป่วย1,2 ส่วนแผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากสารเคมีเป็นการบาดเจ็บของเยื่อเมือกช่องปากจากสารเคมีที่สัมผัสโดยตรงกับเยื่อเมือกช่องปาก ซึ่งอาจเกิดจากการกระทำของผู้ป่วยเองหรือจากการกระทำของทันตแพทย์ในระหว่างการรักษา ได้แก่ การวางเม็ดยาหรือผงยาแอสไพริน (aspirin) ให้สัมผัสกับเยื่อเมือกช่องปากเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน1-7 การอมยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตชนิดรับประทาน (oral bisphosphonate)1,2 และยารักษาอาการทางจิตเวช (antipsychotic drugs) ได้แก่ คลอร์โปรมาซีน (chlorpromazine) และ โปรมาซีน (promazine)3 การใช้น้ำยาบ้วนปากหรือผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (alcohol) ในปริมาณสูง1,4 หรือมีส่วนผสมของไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide; H2O2) หรือฟีนอล (phenol)1,3,7 รวมทั้งการรั่วซึมของสารเคมี เช่น ฟอร์โมครีซอล (formocresol) และโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (sodium hypochlorite; NaOCl; NaClO) ที่ใช้ในการรักษาคลองรากฟัน1-3,7
แผลบาดเจ็บจากความร้อนของอาหารหรือเครื่องดื่มส่วนใหญ่เป็นรอยโรคขนาดเล็กและจำกัดเฉพาะที่เยื่อเมือกเพดานแข็ง หรือริมฝีปาก1,4 หรือบริเวณปลายลิ้น2 รอยโรคที่พบส่วนใหญ่มีลักษณะเยื่อบุแดง (erythema) ที่มีอาการกดเจ็บ (tenderness) แล้วเกิดเป็นแผลในเวลาต่อมา และอาจพบมีเนื้อตายสีขาวคลุมแผล ส่วนแผลบาดเจ็บจากสารเคมีมักพบเป็นปื้นเนื้อตาย (necrotic patch) สีขาวและจะพบเป็นแผลมีเลือดออกเมื่อเนื้อตายที่คลุมแผลหลุดออก2-4 ความรุนแรงของการบาดเจ็บจากสารเคมีขึ้นกับชนิดของสาร ความเข้มข้นของสาร และระยะเวลาที่เยื่อเมือกช่องปากสัมผัสกับสารเคมี1 แผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนและสารเคมีเป็นแผลที่มีอาการเจ็บปวด4 นอกจากนี้หากวัสดุที่ใช้ในการรักษาคลองรากฟันมีการทะลุ (perforation) ปลายรากฟันเข้าไปในกระดูกอาจทำให้เกิดการตายของกระดูก (bone necrosis) และมีอาการปวด อาจเกิดแผลและการบวมของเนื้อเยื่อใกล้กับตำแหน่งที่มีการทะลุ3
แผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนและสารเคมีที่พบรอยโรคสีขาวควรให้การวินิจฉัยแยกโรคกับโรคราแคนดิดาชนิดเยื่อเทียม (pseudomembranous candidiasis) เยื่อเมือกช่องปากอักเสบเหตุเคมีบำบัด (chemotherapy-induced oral mucositis) และเยื่อเมือกช่องปากอักเสบเหตุรังสีรักษา (radiotherapy -induced oral mucositis) ส่วนแผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนและสารเคมีที่พบรอยโรคสีแดงหรือแผลควรให้การวินิจฉัยแยกโรคกับแผลบาดเจ็บ โรคราแคนดิดาชนิดเยื่อบุแดง (erythematous candidiasis) ปากอักเสบเหตุฟันเทียม (denture stomatitis) และลิ้นอักเสบรอมบอยด์หรือกลางลิ้นอักเสบรูปขนมเปียกปูน (median rhomboid glossitis) ไลเคนแพลนัส (lichen planus) ไลเคนอยด์ (lichenoid) และปฏิกิริยาการแพ้ (allergic reactions)8,9
การวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติผู้ป่วยเพื่อหาสาเหตุของแผลร่วมกับการตรวจทางคลินิก1,7 ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติมอื่นหากประวัติของการบาดเจ็บชัดเจน อย่างไรก็ตามอาจใช้การเพาะเชื้อ (culture) หากพบแผลหายช้าหรือมีการเกิดหนองเพื่อตรวจหาการติดเชื้อทุติยภูมิ (secondary infection) นอกจากนี้ควรมีการถ่ายภาพรังสีรอบปลายราก (periapical radiograph) หากวัสดุที่ใช้ในการรักษาคลองรากฟันมีการทะลุปลายรากฟัน1
แผลบาดเจ็บหรือแผลไหม้จากความร้อนและสารเคมีที่แผลมีขนาดเล็กและไม่รุนแรงจะหายได้เองภายใน 10-14 วัน เมื่อกำจัดสาเหตุออก1-3 แผลที่มีขนาดใหญ่และรุนแรงควรมีการขูดทำความสะอาดหรือการกำจัดเนื้อตายร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะ (antibiotics)3,7 และควรมีการควบคุมอาการปวดด้วยยาชาเฉพาะที่ เช่น ลิโดเคนวิสคัส (lidocaine viscous) หรือสารปกปิดแผล (protective agents)3 นอกจากนี้ควรป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำโดยการให้คำแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการใช้ยาหรือสารเคมีในช่องปากให้ถูกต้อง ทันตแพทย์ควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สารเคมีและวัสดุหรืออุปกรณ์ทางทันตกรรม1 การใช้แผ่นยางกันน้ำลาย (rubber dam) ช่วยลดความถี่ในการเกิดแผลบาดเจ็บหรือแผลไม้จากสารเคมีในระหว่างการรักษาผู้ป่วยได้3
แผลบาดเจ็บจากสารเคมีที่ใช้ในการรักษาทางทันตกรรม