บทความ
การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากฟันเป็นกระบวนการมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลถึงความถูกต้องแม่น ยำเนื่องจากฟันของแต่ละบุคคลยังมีรูปร่างโดยเฉพาะส่วนตัวฟัน(tooth crown) แตกต่างกันซึ่งเป็นผลจากทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทั้งพฤติกรรมการบดเคี้ยวและลักษณะอาหาร ตลอดจนการทำงานนอกหน้าที่ของฟัน เช่น ภาวะนอนกัดฟัน ล้วนแต่ทำให้รูปร่างของตัวฟันแต่ละซี่แตกต่างกันไป นอกจากนี้การบูรณะฟันจากทันตแพทย์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การอุดฟัน ครอบฟัน หรือการรักษารากฟัน ยิ่งทำให้ฟันมีเอกลักษณ์จำเพาะแต่ละบุคคลมากขึ้น นอกจากจะมีความจำเพาะบุคคลแล้ว ฟันยังเป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย มีความคงทนสูงสามารถต้านทางการผุกร่อน ทนต่อการย่อยสลายของจุลชีพและทนความร้อนได้สูงและถูกปกป้องไว้จากโครงสร้างใบหน้าและช่องปาก จึงมักพบอยู่ในสภาะที่สมบูรณ์บนร่างผู้เสียชีวิตในขณะที่อวัยวะอื่นอาจเสียหายจนไม่สามารถใช้ในการพิสูจน์เอกลั กษณ์บุคคลได้บ่อยครั้ง จากคุณสมบัติเหล่านี้ส่งผลให้ฟันเหมาะสำหรับนำมาใช้ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยเฉพาะในวินาศภัยขนาดใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่น เหตุธรณีพิบัติและคลื่นยักษ์สึนามิ(tsunami) ในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี ค.ศ 2004 (1,2) ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย เนื่องจากทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายไม่มากนักจึงเหมาะสมมากกว่าการพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยวิธีอื่น เช่นลายพิมพ์นิ้วมือ หรือลายพิมพ์สารพันธุกรรมซึ่งมักเสียหายจากวินาศภัยจนนำมาตรวจพิสูจน์ได้ยาก หลักการในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากเอกลักษณ์ฟันอาศัยการเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลก่อนเสียชีวิต(antem ortem data)และข้อมูลหลังเสียชีวิต(postmortem data) โดยทั่วไปการรวบรวมข้อมูลหลังเสียชีวิตเกี่ยวกับฟันทำได้ง่ายเพราะฟันมักคงอยู่ในร่างผู้เสียชีวิต และข้อมูลหลังเสียชีวิตจากฟันยังนำไปสู่การประเมินข้อมูลพื้นฐานทางชีววิทยาของร่างผู้เสียชีวิตบางประการ เช่น เพศ หรือ อายุ ซึ่งช่วยจำกัดวงในการรวบรวมข้อมูลก่อนเสียชีวิตให้แคบมากขึ้น ตำรวจจึงสามารถรวบรวมข้อมูลก่อนเสียชีวิตได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นด้วย (3) อย่างไรก็ตามในหลายกรณีที่ร่างผู้เสียชีวิตได้รับความเสียหายมากจนตัวฟันแตกหักและสูญหายไป เช่นได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงจนฟันแตก หรือถูกเพลิงไหม้เป็นเวลานานทำให้โครงสร้างฟันเปราะร่วมกับความดันในโพรงประสาทฟันเพิ่มจนทำให้ตัวฟันแต กออกจากรากฟัน (4,5) เป็นต้น กรณีเหล่านี้ทำให้พบเพียงรากฟัน(tooth root)
หักค้างติดอยู่ภายในกระดูกขากรรไกรของร่างผู้เสียชีวิต ส่วนตัวฟันที่แตกมักสูญหายไม่พบในสถานที่เกิดเหตุ จึงมีการศึกษาเพื่อนำถึงรากฟันมาใช้ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยวิธีหนึ่งที่นิยมใช้คือการเปรียบเทียบจากภาพรังสีของรากฟัน ซึ่งวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องทำลายกระดูกขากรรไกรเพื่อนำรากฟันออกมาใช้เปรียบเทียบ จึงสามารถทำซ้ำได้หลายครั้งเพื่อปรับให้ภาพรังสีของรากฟันหลังเสียชีวิตอยู่ในแนวเดียวกับภาพรังสีที่เห็นรากฟันก่ อนเสียชีวิตที่ตำรวจรวบรวมมาได้ ช่วยให้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทำได้ง่ายและมีความแม่นยำมากขึ้น ผลการศึกษาการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากการเปรียบเทียบภาพรังสีของรากฟันพบว่ามีความแม่นยำสูง การเปรียบเทียบภาพรังสีของรากฟันเพื่อการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลโดยอาศัยระบบคอมพิวเตอร์(computer-< aided identification) มีความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 85 ซึ่งใกล้เคียงมากกับการเปรียบเทียบภาพรังสีของรากฟันโดยนิติทันตแพทย์(forensic odontologist) ที่มีความแม่นยำประมาณร้อยละ 86 (5) อย่างไรก็ดี ในอีกหลายกรณีที่ฟันทั้งซี่หลุดหายไปจากกระดูกขากรรไกรหลังเสียชีวิต(postmortem tooth loss) เช่น ถูกกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณใบหน้า หรือ เนื้อเยื่อเน่าเปื่อยจนเหงือกและเอ็นยึดปริทันต์(periodontal ligament) เสื่อมสลายจนไม่สามารถยึดฟันไว้กับกระดูกขากรรไกรได้ (6) เป็นต้น ทำให้ร่างผู้เสียชีวิตพบเหลือเพียงเบ้าฟันเปล่า(empty tooth socket) ของกระดูกขากรรไกร ในกรณีเหล่านี้ นิติทันตแพทย์ต้องเปรียบเทียบลักษณะภาพรังสีของกระดูกเบ้าฟันที่รวบรวมได้จากร่างผู้เสียชีวิตกับภาพรังสีของร ากฟันก่อนเสียชีวิต ถึงแม้การเปรียบเทียบภาพรังสีด้วยวิธีนี้มีประโยชน์ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เนื่องจากสัณฐาน(morphology) ของเบ้าฟันสอดคล้องกับสัณฐานของรากฟัน โดยขอบเขตของเบ้าฟันในภาพรังสีแสดงลักษณะเป็นแนวทึบรังสีต่อเนื่องของผิวกระดูกรองรับรากฟัน(lamina dura) ล้อมรอบรากฟัน ช่วยให้นิติทันตแพทย์เปรียบเทียบสัณฐานของเบ้าฟันกับรากฟันในภาพรังสีก่อนเสียชีวิตได้ แต่เนื่องจากรากฟันแสดงลักษณะทึบรังสีในภาพรังสี(radiopaque) จึงเห็นเป็นสีขาว แต่เบ้ารากฟันแสดงลักษณะโปร่งรังสีในภาพรังสี (radiolucency) จึงเห็นเป็นสีดำ การเปรียบเทียบลักษณะรากฟันสีขาวกับเบ้าฟันสีดำในภาพรังสีจึงต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิสูจน์และอาจเกิ ดข้อผิดพลาดได้ง่าย ทำให้มีผู้ศึกษาเพื่อพัฒนาการเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้ให้ง่ายและมีความแม่นยำมากขึ้น ในปีค.ศ.1992 BC Smith (7) เสนอการใช้ไวนิลโพลีไซลอกเซน(vinyl polysiloxane) ผสมกับแบเรียมซัลเฟต(barium sulfate) ซึ่งเป็นวัสดุทึบรังสี เติมลงไปในเบ้าฟันก่อนนำกระดูกขากรรไกรไปถ่ายภาพรังสี
ทำให้เบ้าฟันในภาพรังสีหลังเสียชีวิตมีลักษณะทึบรังสีช่วยให้เปรียบเทียบกับรากฟันในภาพรังสีก่อนเสียชีวิตได้ง่าย ขึ้น นอกจากนี้ไวนิลโพลีไซลอกเซนยังเป็นวัสดุพิมพ์ปากกลุ่มซิลิโคนชนิดเติม (addition silicone) จึงสามารถนำออกจากเบ้าฟันได้ง่ายหลังจากถ่ายภาพรังสีโดยไม่ทำลายเบ้าฟันหรือกระดูกขากรรไกร ต่อมาในปี ค.ศ.1996 CA Law และ CM Bowers (8) ได้ทดสอบวิธีที่เสนอโดย BC Smith และยืนยันว่าวิธีดังกล่าวช่วยให้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลโดยเฉพาะในกรณีที่เหลือเพียงโครงกระดูกง่ายขึ้นและยั งคงแม่นยำอยู่ จากวิธีการเพิ่มความทึบรังสีให้เบ้าฟันที่เสนอโดย BC Smith ทำให้มีการศึกษาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เช่น การเสนอให้ใช้ใช้วัสดุพิมพ์ปากอัลจิเนต(alginate) (9) ซึ่งเป็นวัสดุพิมพ์ปากที่ใช้อย่างแพร่หลายในคลินิกทันตกรรม ผสมกับแบเรียมซัลเฟต แต่ผลการศึกษากลับพบว่า อัลจิเนตที่ได้มีการไหลแผ่ที่ไม่ดีจึงไม่สามารถไหลไปยังส่วนปลายของเบ้าฟันได้ จึงอาจทำให้การเปรียบเทียบมีความคลาดเคลื่อนได้ง่ายแทน นอกจากนี้ อัลจิเนตยังฉีกขาดได้ง่ายจึงอาจกำจัดออกหลังจากถ่ายภาพรังสีไม่หมดตกค้างภายในเบ้าฟันได้ ในขณะที่วัสดุพิมพ์ปากซิลิโคนชนิดควบแน่นแบบเนื้อข้น (heavy body condensation silicone) ร่วมกับการใช้แกนปลายทู่(blunt tip probe application) ในการนำซิลิโคนเข้าสู่เบ้าฟัน พบว่ามีการไหลแผ่ที่ดี สามารถลอกเลียนลักษณะรากฟันได้ดีและมีวิธีการใช้งานไม่ยุ่งยากไม่ต้องการความชำนาญพิเศษ รวมถึงราคาไม่แพง (10) การศึกษาที่ผ่านมาช่วยสนับสนุนการใช้เบ้าฟันในภาพรังสีหลังเสียชีวิตมาเปรียบเทียบกับรูปร่างรากฟันในภาพรังสี ก่อนเสียชีวิต (5,11) โดยเฉพาะในกรณีที่รากฟันมีความผันแปรทางกายวิภาคศาสตร์ที่ทำให้รูปร่างรากฟันผิดไปจากปกติ เช่น รากฟันโค้ง(dilaceration) เป็นต้น และกรณีที่มีพยาธิสภาพบริเวณรากฟันที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเบ้าฟัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยเสริมให้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลมีความแม่นยำมากขึ้น แต่การศึกษาเหล่านี้ยังมีจำนวนไม่มากนัก จึงควรมีการศึกษาเพื่อสร้างมาตรฐานในการใช้เบ้าฟันสำหรับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลต่อไป