บทความ
ปัญหาสุขภาพสำคัญที่ประเทศต่างๆทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้คือ การเพิ่มสูงขึ้นของอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases; NCDs) โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด หลอดเลือดสมอง เบาหวาน และมะเร็ง1 ปัญหาโรคในช่องปากนับเป็นปัญหาหนึ่งในกลุ่มโลก NCDs โดยมีปัจจัยกำหนดโรคมีปัจจัยร่วมสำคัญกับโรค NCDs ได้แก่ บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพ การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ และมลพิษทางอากาศ2
น้ำตาล เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคฟันผุและทำให้เกิดการสูญเสียฟันในช่วงวัยต่อมา แหล่งหลักของน้ำตาลที่ได้รับจากการบริโภคใน 1 วัน คือ เครื่องดื่ม พฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเครื่องดื่มสำเร็จรูป เช่น น้ำผลไม้กระป๋อง น้ำอัดลม นมเปรี้ยว นมหวานรสต่างๆ หรือ เครื่องดื่มชง เช่น กาแฟเย็นรสต่างๆ เครื่องดื่มช็อคโกแลต ชานม ได้กลายเป็นวิถีชีวิตประจำวัน ปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในเครื่องดื่มเฉลี่ยมากกว่า 10 ช้อนชาขึ้นไป เครื่องดื่มยอดนิยมของนักศึกษาเช่น นมเย็นขนาด 22 ออนซ์ มีน้ำตาลรวมเฉลี่ย/แก้วสูงถึง 24 ช้อนชา หรือ 96 กรัม (384 กิโลแคลลอรี)3,4 รายงานผลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลแห่งชาติ ปี 2565 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 25.4 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่าข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก ถึง 4 เท่า โดยเป็นการบริโภคจากเครื่องดื่มสูงสุด คนไทยได้รับน้ำตาลจากเครื่องดื่มคิดเป็น 45.9% ของน้ำตาลที่ได้รับจากการบริโภคน้ำตาลทางอ้อมทั้งหมด ในปี 2015 องค์การอนามัยโลกได้ออกคู่มือ “ Sugars intake for adult and children”5 โดยได้สรุปข้อแนะนำการบริโภค ไว้ ดังนี้
- WHO recommends a reduced intake of free sugars throughout the life course (strong recommendation.) ( Free sugars include monosaccharides and disaccharides added to foods and beverages by the manufacturer, cook or consumer, and sugars naturally present in honey, syrups, fruit juices and fruit juice concentrates.)
- In both adults and children, WHO recommends reducing the intake of free sugars to less than 10% of total energy intake (strong recommendation).
- WHO suggests a further reduction of the intake of free sugars to below 5% of total energy intake (conditional recommendation).
การจัดการสิ่งแวดล้อมด้านอาหารเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้บริโภค มีการบริโภคอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพน้อยลงมาตรการในการจัดการการปัจจัยเสี่ยงที่นำสู่โรค NCDs โดยองค์การอนามัยโลก ได้ระบุ 5 มาตรการ
(ตาราง 1) ทั้งนี้ประเทศไทยได้มีการออกมาตรการตามคำแนะนำในเกือบทุกมาตรการ มาตรการทางการเงินการคลัง เป็นมาตรการที่มีประสิทธิผลสูงสุด ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งประเทศไทยได้มีการขับเคลื่อนให้เกิดมาตรการทางภาษีเป็นมาตรการในภาคพื้นเอเชีย โดยได้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ตาม พระราชบัญญัติสรรพสามิต ปี พ.ศ. 2560 และมีผลบังคับใช้เมื่อวัน 16 กันยายน 2560 ซึ่งอัตราการเก็บจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำตาล ซึ่งได้มีการใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมที่ 6% ทั้งนี้ประเทศไทยได้แบ่งระยะการจัดเก็บภาษีแบบขั้นบันได 4 ระยะ ระยะละ 2 ปี โดยระยะที่ 4 นี้จะเริ่ม 1 เมษายน 2568 โดยอัตราเริ่มต้นที่ 1 /ลิตร6 (ภาพที่ 1)
ตารางที่ 1 มาตรการที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยงต่อ NCDs และ กิจกรรมตัวอย่าง2
WHO recommendation | Activities |
---|---|
ควบคุมการจำหน่ายอาหารที่ให้พลังงานสูง (restriction on supply of high caloric foods) | -ประกาศ สธ.ที่ 286 เรื่อง นมดัดแปลงสำหรับทารกและนมดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก (/ถภค) -ประกาศ สพฐ พ.ศ. 2564 ว่าด้วยการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพในสถานศึกษา -นโยบาย Healthy Meeting (อาหารว่างพลังงานต่ำ ไม่เกิน 150 Kcal) และประกาศฉลากเรื่อง ซองน้ำตาล |
การแสดงข้อมูลบนฉลาก (product labeling) | ประกาศ สธ. ที่ 305 : การแสดงฉลากโภชนาการอย่างง่าย พร้อมคำเตือน “บริโภคแต่น้อยและออกกำลังกาย” ประกาศการแสดงสัญลักษณ์ GDA, ฉลากทางเลือกสุขภาพ |
ควบคุมโฆษณา (Restriction of advertising) | ร่าง พรบ. การตลาดอาหารในโรงเรียน ประกาศ ศธ. เรื่อง มาตรการและแนวทางการสร้างเสริมความรอบรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากและการเลือกรับบริการทางทันตกรรม |
ใช้มาตรการด้านราคา (Price control) | มาตราการภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล |
ห้ามขาย ณ จุดจ่ายเงิน (restricting supply at point of sale) | ยังไม่มีการดำเนินการที่ชัดเจน |
ภาพที่ 1 แสดงอัตราเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล 6