บทความ
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
(Intellectual Disabilities/ Mental Retardation)
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นภาวะที่มีพัฒนาการบกพร่องทำให้มีข้อจำกัดด้านสติปัญญา การเรียนรู้ และการปรับตัวในการดำรงชีวิตประจำวัน เดิมเรียกภาวะดังกล่าวว่า “ภาวะปัญญาอ่อน” ปัจจุบันใช้คำว่า “บกพร่องทางสติปัญญา” แทน ตาม Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition (DSM – V) โดย American Psychiatric Association (APA) เมื่อปี ค.ศ. 2013 ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง ภาวะที่ประกอบด้วย
- ระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
- พฤติกรรมการปรับตัวบกพร่องตั้งแต่ 2 ด้านหรือมากกว่า จากทั้งหมด 10 ด้าน
- แสดงอาการในช่วงที่สมองยังมีการพัฒนา (developmental period)
ลักษณะทางคลินิก
พัฒนาการล่าช้า เป็นอาการที่สำคัญของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ภาวะบกพร่องทางสติปัญญายิ่งรุนแรงมากเท่าใดความล่าช้าของพัฒนาการก็ยิ่งปรากฏให้เห็นเร็วขึ้นเท่านั้น
ความผิดปกติที่พบร่วม
พบความผิดปกติทางจิตเวชในบุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาได้ถึงร้อยละ 45 ซึ่งสูงกว่าประชากรทั่วไป ความผิดปกติเหล่านี้จะพบบ่อยขึ้น เมื่อมีความรุนแรงของภาวะบกพร่องทางสติปัญญามากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นปัญหาพฤติกรรม ความผิดปกติที่พบ ได้แก่ ซน สมาธิสั้น พฤติกรรมทำร้ายตนเอง โรคอารมณ์สับสนแปรปรวน อาการชักพบได้บ่อยกว่าเด็กทั่วไปประมาณ 10 เท่า ภาวะประสาทสัมผัสบกพร่อง ได้แก่ การได้ยินบกพร่องหรือมีปัญหาในการมองเห็นโดยเฉพาะในกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของใบหน้าและศีรษะ และมักพบความบกพร่องในด้านการเคลื่อนไหวซึ่งเข้าได้กับสมองพิการ (cerebral palsy)
เป้าหมายการดูแลรักษา
เมื่อเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว จะไม่สามารถรักษาสมองส่วนที่เสียไปให้กลับคืนมาทำงานได้ตามปกติ จะคงสภาพหรือฟื้นฟูสภาพทางสมองส่วนที่คงเหลืออยู่ให้ทำงานได้เต็มที่ จึงเน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพของสมองและร่างกายมากกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว เป้าหมายของการรักษาภาวะบกพร่องทางสติปัญญาจึงมิใช่มุ่งรักษาให้หายจากโรค แต่เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด ให้ช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคมมากเกินไป และสามารถประกอบอาชีพได้
การฟื้นฟูสมรรถภาพในบุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่
- การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ (Medical Rehabilitation)
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ในช่วงแรกเกิด – 6 ปี ได้แก่ การส่งเสริมป้องกัน บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ การส่งเสริมพัฒนาการ การดูแลโดยทีมสหวิชาชีพ การส่งเสริมสุขภาพทำเช่นเดียวเด็กปกติแต่เพิ่มการบำบัดรักษาความผิดปกติที่อาจพบร่วมด้วย เช่น โรคลมชัก cerebral palsy, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน ให้การส่งเสริมพัฒนาการเพื่อพัฒนาทักษะด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก สติปัญญา ภาษา การเข้าสังคมและการช่วยเหลือตนเองเพื่อให้เด็กมีความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยทีมสหวิชาชีพ เช่น อรรถบำบัด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด เป็นต้น - การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา (Educational Rehabilitation)
ในช่วงอายุ 7 – 15 ปี มีการจัดการการศึกษาโดยมีแผนการศึกษาสำหรับแต่ละบุคคล (Individualized Educational Program : IEP) ในโรงเรียนซึ่งอาจเป็นการเรียนในชั้นเรียนปกติ เรียนร่วม หรือมีการจัดการศึกษาพิเศษ ในประเทศไทยโรงเรียนที่รับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามีอยู่ทั่วไปทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด - การฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ (Vocational Rehabilitation)
เมื่ออายุ 15-18 ปี ควรได้รับการฝึกวิชาชีพและลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงาน ซึ่งจำเป็นมากต่อการประกอบอาชีพในวัยผู้ใหญ่ ได้แก่ ฝึกการตรงต่อเวลา รู้จักรับคำสั่งและนำมาปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องมีผู้เตือน การปฏิบัติตนต่อผู้ร่วมงานและมารยาทในสังคม เมื่อเข้าวัยผู้ใหญ่ควรช่วยเหลือให้ได้มีอาชีพที่เหมาะสม อาชีพที่บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถทำได้ดี เช่น งานบ้าน งานบริการ งานโรงงาน งานสำนักงาน เช่น การรับส่งหนังสือ ถ่ายเอกสาร เป็นต้น - การรักษาโดยการใช้ยา การรักษาโดยการใช้ยานั้นเป็นการรักษาตามอาการ หรือรักษาโรคที่พบร่วม ดังนี้
- Psychostimulants เช่น Methylphenidate ใช้รักษาอาการซนสมาธิสั้น
- Antipsychotics เช่น Risperidone ใช้รักษาอาการซนอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity), หงุดหงิด (Irritability), พฤติกรรมรุนแรง (Aggressive behavior), พฤติกรรมทำร้ายตัวเอง (Self injurious behavior) และ พฤติกรรมซ้ำ ๆ (Repetitive behavior)
ปัญหาสภาวะช่องปากในผู้ป่วยภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
การได้รับยาเพื่อรักษาอาการที่ไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยยังส่งผลให้เกิดภาวะต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น ภาวะน้ำลายน้อย ส่งผลให้เกิดฟันผุได้ง่าย เกิดปัญหาปริทันต์ เชื้อราในช่องปาก ลิ้นอักเสบ มุมปากอักเสบ ก่อให้เกิดปัญหาในการเคี้ยว การพูดหรือบาดเจ็บจากการใส่ฟันปลอมตามมาได้ ผลจากการรับประทานยาทางจิตเวชในระยะยาวจะก่อให้เกิดความแข็งตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ทำให้ลิ้น หรือกล้ามเนื้อใบหน้ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติได้ อาการเหล่านี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการรักษาทางทันตกรรม ทันตแพทย์ควรมีส่วนร่วมในการวางแผนงานทันตกรรมป้องกันร่วมกับสหวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ควรมีบทบาทในเรื่องการแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดฟันผุ ข้อมูลการเข้าถึงการรักษาทางทันตกรรม
การรักษาทางทันตกรรมในผู้ป่วยภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ในการรักษาทางทันตกรรมแนะนำให้ใช้เครื่องมือช่วยอ้าปาก ใส่แผ่นยางกันน้ำลายในการทำหัตถการเพื่อป้องกันน้ำ และเศษวัสดุไม่ให้เข้าคอ และป้องกันอันตรายต่อลิ้น และเนื้อเยื่อในช่องปากจากการถูกกรอ ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมความร่วมมือของเด็ก
การเลือกใช้ยาชาที่เหมาะสมในผู้ป่วยกลุ่มนี้ หลีกเลี่ยงการฉีดสะกดเส้นประสาท (nerve block) ซึ่งให้ผลการชาที่นาน ควรเลือกใช้ยาชาที่ออกฤทธิ์ระยะสั้น (ultra short acting anesthetics) เพื่อป้องกันการอาการชาที่ยาวนานหลังการรักษาและอาจทำให้เด็กกัดเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากเนื่องจากอาการชาได้
ทันตแพทย์และบุคลากรทางทันตกรรมควรมีทัศนคติที่ดีต่อบุคคลภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ไม่ปฏิเสธการรักษา ให้ความรักและเอื้ออาทรและใส่ใจ ซักถามประวัติผู้ป่วย สภาพครอบครัว ความสามารถของ ผู้ป่วยในการเรียนรู้ การสื่อสาร การช่วยเหลือตนเอง เพื่อเลือกวิธีการจัดการที่เหมาะสม
การจัดการพฤติกรรมของผู้ป่วยภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย สามารถใช้วิธีการจัดการโดยวิธีการทางจิตวิทยา เช่น การบอก-แสดง-ทำ (Tell show do) การเบี่ยงเบนความสนใจ (Distraction) การเสริมแรง (Reinforcement) การลดความไวต่อความรู้สึก (Desensitization) เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่มีระดับบกพร่องทางสติปัญญารุนแรงถึงรุนแรงมาก ผู้ป่วยไม่อยู่นิ่ง ไม่สามารถสื่อสารได้ และไม่ร่วมมือในการรักษา อาจใช้เครื่องมือควบคุมการเคลื่อนไหว เช่น แพพพูสบอร์ด (papoose board) โดยมีผู้ช่วยทันตแพทย์ช่วยข้างเก้าอี้ 1 คนและผู้ช่วยทันตแพทย์หมุนเวียนอีก 1 คน ทำให้ รวดเร็ว และลดเวลาในการให้การรักษา
การรักษาทางทันตกรรมสำหรับกลุ่มที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญารุนแรงและมีปริมาณงานที่ต้องรักษามาก และมีความจำเป็นต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจจะต้องพิจารณาให้การรักษาภายใต้การให้ยาสลบ (general anesthesia) และควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวเด็กก่อน หากผู้ป่วยมีความพิการซ้ำซ้อน หรือมีโรคทางระบบร่วมด้วย