บทความ
โรคซึมเศร้า (major depressive disorder)
โรคซึมเศร้าเป็นโรคความผิดปกติทางอารมณ์ ทางอารมณ์ความคิดและพฤติกรรม ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานมีความบกพร่องในการทำหน้าที่ ทำให้สูญเสียโอกาสทั้งด้านอาชีพ การทำงานและการศึกษา อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงต่อการฆ่าตัวตาย โรคซึมเศร้านั้นก่อให้เกิดการสูญเสียด้านสุขภาพอย่างมีนัยสําคัญ และส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลก องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่า มีประชากรมากกว่า 300 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งมากกว่าร้อยละ 4 ของประชากรโลก และเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทําให้เกิดความบกพร่องทางสุขภาพในประชากรทั่วโลก (คิดเป็นร้อยละ 7.5 ของการสูญเสียปีสุขภาวะจากภาวะบกพร่องทางสุขภาพ) โรคซึมเศร้านั้นจัดเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทย โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 1.7 เท่า และพบได้ในทุกช่วงอายุ จากการประเมินด้วย Mini International Neuropsychiatric Interview ในปี 2551 พบผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้นเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง (ร้อยละ 20.4) เมื่อเปรียบเทียบกับโรคจิตเวชประเภทอื่นๆ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข รายงานข้อมูลสถานการณ์ของประเทศไทยปี 2560 ว่ามีคนไทยถึง 1.5 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสถิติที่สูงขึ้นถึง 400000 รายจากปี 2557 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36 ในรอบ 3 ปี
สาเหตุของโรคซึมเศร้า
- ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ ผลการศึกษาพบว่าสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูง
- ปัจจัยทางกายภาพ เกิดจากความไม่สมดุลของสารชีวเคมีในสมองทำให้สมองทำงานไม่สมดุลฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันในร่างกายผิดปกติ หรือผลกระทบจากการใช้ยาและแอลกอฮอล์ก็ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าเช่นกัน
- ปัจจัยทางบุคลิกภาพ ผู้ที่วิตกจริตง่าย ไม่ยืดหยุ่น และผู้ที่ชอบความสมบูรณ์แบบมีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าได้
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและสังคม สิ่งกระตุ้นความเครียด ปัญหาครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่นปัญหาหนี้สินและอาการเจ็บป่วยเรื้อรังก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
อาการของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า มีอาการหลักคือ
- อารมณ์เศร้า ท้อแท้ ซึม ทั้งที่ตัวเองรู้สึกหรือคนอื่นก็สังเกตเห็น
- เบื่อ ไม่อยากทำอะไรหรือทำอะไรก็ไม่สนุกเพลิดเพลินเหมือนเดิม
ร่วมกับมีอาการเหล่านี้รวมกันอย่างน้อย 5 อาการ ได้แก่
- เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป
- หลับยาก หลับๆตื่นๆ หรือหลับมากไป
- คิดช้าพูดช้า ทำอะไรช้าลง หรือหงุดหงิด กระวนกระวาย ไม่สามารถอยู่นิ่งได้
- รู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยใจ ไม่มีแรง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า
- สมาธิความคิดอ่านช้าลง
- คิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ หรือ อยากทำร้ายตนเอง
อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่เกือบทั้งวัน โดยเป็นติดต่อกันนานถึง 2 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน เข้าร่วมกิจกรรมด้านสังคม ทำหน้าที่การงานได้เหมือนเดิม
การดำเนินโรคของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้ามีตั้งแต่ระดับเล็กน้อย ปานกลาง และมาก บางรายรุนแรงมากถึงขั้นโรคจิตหูแว่ว คิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย แม้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีอาการดีขึ้นหลังจากรับการรักษาด้วยยา 6 เดือน ถึง 1 ปี แต่มีอัตรากลับเป็นซ้ำได้อีกภายใน 3-12 เดือน โดยที่ผู้ป่วยครั้งแรกมีโอกาสป่วยอีกร้อยละ 50 ผู้ป่วยครั้งที่ 2 มีโอกาสป่วยอีกร้อยละ 70 ผู้ป่วยครั้งที่ 3 มีโอกาสป่วยอีกถึงร้อยละ 90 ดังนั้นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและสมาชิกในครอบครัวควรใส่ใจถึงสัญญาณของโรคที่กำเริบอีกครั้งเพื่อที่จะได้รับการรักษาทันท่วงที
การรักษาโรคซึมเศร้า
- การรักษาด้วยยา จะช่วยให้อาการซึมเศร้าลดลงภายในเวลา 3-4 อาทิตย์ และเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับโรคซึมเศร้าแบบรุนแรง ยาที่ใช้ได้แก่ a) ยาระงับอาการซึมเศร้าซึ่งจะช่วยควบคุมระดับของสารสื่อประสาท และ b) ยาระงับอาการวิตกกังวล ที่บรรเทาอาการวิตกจริตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า
- การบำบัดจิต การบำบัดความคิดและพฤติกรรมพบว่ามีประสิทธิผลในการรักษาโรคซึมเศร้า เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดในแง่ลบและรูปแบบพฤติกรรมของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับปัญหาของตนเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
- การรักษาด้วยไฟฟ้า พิจารณาใช้ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาหรือการบำบัดจิต
ข้อแตกต่างระหว่างโรคนี้กับโรคจิตเวชอื่นๆที่สำคัญประการหนึ่งคือ ในโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนดีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ขณะที่ในโรคจิตเวชอื่นนั้นแม้จะรักษาได้ผลดีแต่ผู้ที่เป็นยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่เหมือนแต่ก่อน
พฤติกรรมและผลข้างเคียงของยาที่ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่มักละเลยการดูแลสุขภาพช่องปาก มักชอบรับประทานอาหารที่มีรสชาติหวาน
เนื่องจากการรับรสของผู้ป่วยลดลง และมีภาวะน้ำลายน้อย เนื่องมาจากผลข้างเคียงของยา จึงพบว่าผู้ป่วยซึมเศร้าจะมีฟันผุมาก (rampant caries) มีการอักเสบของเยื่อบุช่องปากลิ้น และต่อมน้ำลาย นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการนอนกัดฟันและเค้นฟัน ผู้ป่วยที่มีอาการเครียดอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณใบหน้า ข้อต่อขากรรไกร ซึ่งเกิดจากมีการรบกวนการส่งกระแสประสาท นอกจากนี้ในผู้ป่วยรายที่สูบบุหรี่จัดจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคปริทันต์มากขึ้นอีกด้วย ในการรักษาทันตกรรมควรระมัดระวังการใช้ยาชาที่มีepinephrine เป็นส่วนผสม (1:100,000 สามารถใช้ได้ไม่เกิน 2 หลอด) และระวังการฉีดเข้าเส้นเลือด โดยแนะนำให้ใช้การฉีดยาชาแบบวิธีดูดกลับ
แนวทางการให้บริการทันตกรรมผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักไม่ค่อยสนใจการดูแลช่องปาก และไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษาทางทันตกรรมซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความกลัวหรือความกังวลในการรักษา
- ควรเผื่อเวลาในการรักษาสําหรับการพูดคุย ปรับความเข้าใจกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการถามถึงอาการซึมเศร้าหรือปัญหาส่วนตัวของผู้ป่วยอันจะทําให้อาการซึมเศร้ากําเริบขึ้นได้
- ควรพูดด้วยน้ำเสียงละมุนละม่อม พยายามกระตุ้นความเข้าใจและรอการตอบสนองของผู้ป่วย
- ควรให้ญาติหรือผู้ดูแลที่ผู้ป่วยคุ้นเคยอยู่ด้วยในขณะตรวจรักษา จะช่วยไห้ผู้ป่วยรู้สึกคลายความวิตกกังวลและยอมรับการรักษาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมผู้ป่วยกรณีไม่ร่วมมือในการรักษา รวมถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการเจ็บปวดและพฤติกรรมของผู้ป่วย โดยข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ทันตแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับผู้ป่วยมากขึ้น
- ควรมีการประเมินอาการทางจิต และประเมินความสามารถในการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยเพื่อพิจารณาวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
- ควรรักษาทันตกรรมด้วยความนิ่มนวล ไม่เจ็บและใช้เวลาไม่นานมาก จะช่วยให้ผู้ป่วยร่วมมือ ไม่กลัว และมีทัศนคติที่ดีต่อการรักษาทางทันตกรรมในครั้งต่อไป
- ควรพิจารณาใช้ยาด้วยความระมัดระวัง เพื่อลดอันตรายอันอาจเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างยารักษาโรคจิตกับยาที่ใช้ทางทันตกรรม (drug interaction) รวมทั้งผลข้างเคียงของยารักษาโรคจิตต่อระบบร่างกายด้วย
- ควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยตระหนักถึงความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพในช่องปากมากยิ่งขึ้น โดยให้ความรู้ด้านทันตสุขภาพแบบต่อเนื่องและครอบคลุมคือมี Regular recall program ในความถี่ที่เหมาะสมโดยพิจารณาเป็นรายบุคคล และให้การดูแลเสริม เช่นการให้ฟลูออไรด์เฉพาะที่