บทความ
การใช้ยาจิตเวชในผู้ป่วยเด็ก
เด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีการตอบสนองต่อยาแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยความแตกต่างที่สำคัญคือเรื่องของเภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetics) และเภสัชพลศาสตร์ (pharmacodynamics)
เภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetics) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางชีวภาพที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับความเข้มข้นของยาในเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกายตามช่วงเวลาต่างๆ ทำให้เราคาดหมายได้ว่ายาจะมีผลต่อร่างกายอยู่นานเท่าไร ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่หลายประการ สิ่งหนึ่งที่สังเกตพบในทางคลินิกคือ เด็กและวัยรุ่นมักต้องการขนาดยาที่ปรับตามน้ำหนัก (weight-adjusted doses) สูงกว่าในผู้ใหญ่เพื่อให้ระดับยาและผลการรักษาที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการที่ยามี half-life สั้นลงเนื่องจากเด็กมีเมตาโบลิสซึมที่สูงกว่าผู้ใหญ่และการขจัดยาออกจากร่างกายที่เร็วกว่า โดยทั่วไปสามารถจำแนกกระบวนการทางเภสัชจลนศาสตร์เป็น 4 ขั้นตอนคือ
- การดูดซึม (absorption) การให้ยาทางปากเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด แต่จะพยากรณ์การดูดซึมได้ไม่แน่นอนนัก การดูดซึมของยาผ่านทางเดินอาหารโดยทั่วไปมักเกิดที่กระเพาะอาหาร แต่กับยาจิตเวชส่วนใหญ่มักเกิดที่ลำไส้เล็ก มีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้องกับการดูดซึมของยาในเด็ก เช่น ในเด็กจะมีสภาพความเป็นกรดในกระเพาะอาหารน้อยกว่าในผู้ใหญ่ ทำให้ยาที่มีความเป็นกรดอ่อน (weakly acidic drugs) เกิดการ ionized มากขึ้นและเนื่องจากยาที่จะดูดซึมได้ต้องอยู่ในรูป non-ionized ยาที่มีความเป็นกรดอ่อนจึงอาจถูกดูดซึมในเด็กได้ช้ากว่า ซึ่งตามทฤษฎีอาจมีผลต่อยากลุ่ม anticonvulsants, amphetamines และ antidepressants และพบว่าเด็กจะมีจำนวนและความหลากหลายของจุลชีพในลำไส้น้อยกว่าในผู้ใหญ่ เด็กบางรายถึงไม่ตอบสนองกับยากลุ่ม phenothiazines ซึ่งเป็นยาที่มีการดูดซึมและมีเมตาโบลิสซึมที่ผนังลำไส้ อีกปัจจัยที่อาจมีผลก็คือ พบว่าเด็กจะมี intestinal transit time ที่สั้นกว่าในผู้ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้การดูดซึมยาแบบ slow-release ทำได้ไม่สมบูรณ์
- การกระจาย (distribution) เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายแล้วจะมีการกระจายเข้าไปทั้งใน intra และ extravascular spaces ปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่เปลี่ยนแปลงไปตามพัฒนาการและมีผลต่อการกระจายของยาคือ ปริมาณไขมันของร่างกาย และอัตราส่วนของ total body water ต่อ extracellular water พบว่าการกระจายของยาที่ละลายในไขมันได้ดี (highly lipophilic drugs) ซึ่งรวมถึงยากลุ่ม neuroleptics และ antidepressants ส่วนใหญ่จะขึ้นกับสัดส่วนของไขมันในร่างกาย เด็กมีสัดส่วนของไขมันในร่างกายน้อยกว่าในผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้เมื่อให้ยาที่ละลายในไขมันได้ดีในปริมาณปรับตามอายุเท่ากับในผู้ใหญ่แล้ว อาจพบว่ายาในพลาสมาของเด็กมีปริมาณสูงกว่า อย่างไรก็ตามผลในทางคลินิกของประเด็นนี้นั้นไม่มีนัยสำคัญอาจเนื่องจากกลไกอื่น เช่นเมตาโบลิสซึมของยามีผลต่อระดับยาในพลาสมามากกว่า พบว่าอัตราส่วนน้ำในร่างกายจะเปลี่ยนไปตามพัฒนาการ โดยทั้ง total boby water และ extracellular water จะลดเปอร์เซนต์ลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นยาที่กระจายอยู่ในน้ำเป็นหลักเช่น lithium เมื่อใช้ในเด็กก็อาจพบมีระดับยาในพลาสมาต่ำกว่าในผู้ใหญ่เนื่องจาก volume of distribution ของเด็กที่สูงกว่า ยาที่ถูกดูดซึมแล้วจะถูกขนส่งในกระแสโลหิตใน 2 รูปแบบคือ จับและไม่จับกับโปรตีน ( bound และ unbound form ) โดยชนิดไม่จับกับโปรตีนเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์ที่เนื้อเยื่อต่างๆได้ อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการกระจายยาคือการที่เด็กมี blood-brain barrier ที่อนุญาตให้มีการผ่านเข้าออก (permeability) ได้มากกว่าในผู้ใหญ่ ยาจึงมี bioavailibility ใน CNS ที่สูงกว่า ซึ่งทำให้โปรตีนสามารถผ่านเข้าCNS ได้สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้ยาที่จับกับโปรตีนได้สูง เช่น anticonvulsants จึงอาจมี bioavailibility ใน CNS ลดลงแทน
- เมตาโบลิสซึม (metabolism) ยาส่วนใหญ่จะต้องถูก metabolized จากสภาพ lipophilic ให้กลายเป็นสภาพ hydrophilic ซึ่งจำเป็นต่อการขับยาออกจากร่างกาย เอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการนี้ส่วนใหญ่พบในตับ เรียกว่า hepatic microsomal enzymes ยาหลายชนิดเช่น phenobarbital, phenytoin, carbamazepine , alcohol และ nicotine สามารถกระตุ้น microsomal enzymes ให้ทำงานมากขึ้น ทำให้ระดับยาอื่นในพลาสมาลดลงได้ ในทางตรงกันข้ามยาอย่างเช่น fluoxtine, paroxetine, cimetidine, beta-blockers, phenothiazines, และ valproic acid สามารถยับยั้ง microsomal enzymes ทำให้ยาอื่นมีระดับยาเพิ่มขึ้นจนอาจถึงขั้นเป็นพิษได้ สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ต้องใช้ขนาดยาทางจิตเวชในเด็กสูงกว่าในผู้ใหญ่คือการมี hepatic metabolic capacity ที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้ว metabolic pathway ของยาต่างๆจะทำในระดับสูงสุดในเด็กช่วงอายุประมาณ 1-5 ปี และลดการทำงานลงทีละน้อยจนเท่ากับในผู้ใหญ่เมื่อ 15 ปี นอกจากนี้ขนาดของตับเทียมกับน้ำหนักร่างกายของเด็กก็ใหญ่กว่าในผู้ใหญ่ ในเด็กจึงมักต้องใช้ยาเมื่อเทียบเป็น mg/kg แล้วสูงกว่าในผู้ใหญ่
- การขับถ่าย (excretion) ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในการขับถ่ายยา การขับถ่ายยาจะทำได้ดีเพียงไหนขึ้นกับความสามารถในการละลายน้ำของยาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยาผ่านกระบวนการเมตาโบลิสซึมแล้ว ยกเว้น lithium เนื่องจากสามารถถูกขับถ่ายผ่านไตได้โดยไม่มีการเปลี่ยนสภาพ การทำงานของไตในเด็กมีความใกล้เคียงกับในผู้ใหญ่จึงไม่มีผลทางคลินิกที่เด่นชัดต่อการใช้ยาทางจิตเวชในเด็ก
การรักษาด้วยยาเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่มีความสำคัญในการรักษาส่วนหนึ่งของผู้ป่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะในกรณีมีอาการของโรครุนแรงจนทำให้เกิดผลเสียต่อการดำเนินชีวิตหรือต่อพัฒนาการของผู้ป่วยและมีหลักฐานว่ามียาที่ใช้รักษาได้ผล (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 โรคทางจิตเวชที่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยสนับสนุนว่าใช้ยารักษาได้ผลในเด็กและวัยรุ่น
โรค |
ยาที่ใช้รักษา |
Attention-deficit hyperactivity disorder |
Methylphenidate, atomoxetine, tricyclicantidepressant |
Oppositional defiant disorder and conduct disorder |
Atypical and typical antipsychotic |
Tic disorder |
Haloperidal, risperidone, pimozide, clonidine |
Enuresis |
Impramine, DDAVP |
Autistic spectrum disorder |
Risperidone, selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI), stimulant |
Major depressive disorder |
SSRI |
Obsessive-compulsive disorder (OCD) |
SSRI, clomipramine |
Other anxiety disorder |
SSRI |
Bipolar disorder |
Lithium, atypical antipsychotic |
โดยรายละเอียดของยาตัวอื่นๆมีในบทความของการใช้ยาทางจิตเวชในผู้ใหญ่ ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะยาที่ใช้บ่อยที่สุดในเวชปฏิบัติจิตเวชเด็ก 2 ชนิดคือ
Methylphenidate (Ritalin®, Rubifen®)
ยาเป็น dopamine reuptake inhibitor ยับยั้งการนำกลับสาร dopamine จาก synaptic cleft เข้าสู่ presynaptic nerve terminal ทำให้มีปริมาณสาร dopamine สูงขึ้น ผลของยาทางพฤติกรรมทำให้เด็กมีสมาธิกับงานที่ต้องทำดีขึ้น ลดการรบกวนเพื่อนในชั้น และมีความสัมพันธ์กับคนรอบตัวดีขึ้นจนถึงขั้นปกติถึงราวร้อยละ 80 นอกจากนี้ยังลดความก้าวร้าวที่เกิดจากโรค ADHD นี้ลงได้ด้วย
Imipramine (Tofranil®)
จัดเป็นยาในกลุ่ม antidepressants (TCA) ที่นำมาใช้ในผู้ป่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่นบ่อยที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่หลากหลายในการรักษาโรค เช่น Enuresis, ADHD, school refusal, separation anxiety disorder, anxiety disorder ชนิดอื่นๆ, depression, sleep disorder โดยimipramine ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา enuresis ในเด็กอายุมากกว่า 6 ปี และใช้รักษาโรคซึมเศร้าในเด็กอายุมากกว่า 12 ปี