บทความ
การรักษาโรคปริทันต์อักเสบ
การรักษาโรคปริทันต์สามารถจำแนกได้ตามระยะที่ให้การรักษาได้เป็น 4 phase คือ systemic phase, initial phase, corrective phase, maintenance phase (หรือ supportive periodontal therapy) หรืออาจแบ่งการรักษาได้ 2 รูปแบบ คือ non-surgical และ surgical therapy
การรักษาแบ่งตามระยะ คือ
- Systemic phase
คือ การให้การรักษาเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางระบบที่มีผลต่อโรค รวมทั้งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการให้การรักษาโรคปริทันต์ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน การกระตุ้นและการแนะนำให้ผู้ป่วยเลิกบุหรี่ โดยขั้นตอนนี้อาจต้องมีการส่งต่อผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เป็นต้น
- Initial phase
คือ การรักษาที่มีวัตถุประสงค์ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียก่อโรค โดยการกำจัดคราบจุลินทรีย์ หินน้ำลาย และคราบสีที่สะสมบนผิวฟันและผิวรากฟัน ด้วยการขูดหินน้ำลาย และการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน ร่วมกับการควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์ โดย
การขูดหินน้ำลาย (Scaling)
หมายถึง การใช้เครื่องมือในการกำจัดหินน้ำลายและคราบ จุลินทรีย์เหนือเหงือกออกการเกลารากฟัน (Root planing)
หมายถึง การใช้เครื่องมือเพื่อกำจัดหินน้ำลายใต้เหงือกและคราบจุลินทรีย์บนผิวรากฟันรวมทั้งการกำจัดผิวรากฟันและเนื้อฟันที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียการควบคุมคราบจุลินทรีย์ (Plaque control)
หมายถึง ขบวนการควบคุมและกำจัดการเกิดคราบจุลินทรีย์ทั้งโดยทันตแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นMechanical plaque control
หมายถึง การควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์ทางกล โดยการแปรงฟัน การใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันชนิดต่างๆ ตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายChemical plaque control
หมายถึง การนำสารเคมีมาช่วยเสริมในการควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์ แบ่งออกเป็น- การควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์เหนือเหงือก (Supragingival plaque control)
- การควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์ใต้เหงือก (Subgingival plaque control)
การใช้สารเคมีรักษามาใช้ร่วมกับการรักษาโรคปริทันต์
สารเคมีรักษา(chemotherapeutic agents) คือ สารเคมีที่นำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดผลในการรักษา
วัตถุประสงค์หลักในการใช้สารเคมีรักษา
- เพื่อทำลายหรือยับยั้งเชื้อจุลชีพ (destroy or inhibited microorganism) ได้แก่ การใช้ยาต้าน จุลชีพในรูปแบบต่างๆ
- เพื่อส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย (host modulation) ได้แก่ การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (non-steroidal inflammatory drugs ; NSAIDs) และการใช้ยาด๊อกซีซัยคลีน ปริมาณต่ำ (low dose doxycycline ; LDD)
การใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อทำลายหรือยับยั้งเชื้อจุลชีพก่อโรคปริทันต์
มีการนำยาต้านจุลชีพมาเสริมการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ เนื่องจากการรักษาโดยวิธีทางกล (mechanical debridement) ได้แก่ การขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน หรือการทำศัลยกรรมปริทันต์ ไม่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ตกค้างในเนื้อเยื่อปริทันต์ได้ทั้งหมด เนื่องจากมีเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Aggregatibacter actinomycetemcomitans, Porphyromonas gingivalis, Prevotella intermedia, Tannerella forsythensis สามารถแทรกตัวเข้าไปในเยื่อบุผิวร่องเหงือก เนื้อเยื่อยึดต่อ ท่อเนื้อฟัน และอาจมีเชื้อแบคทีเรียบางส่วนตกค้างอยู่บนลิ้น ทอนซิล และเยื่อบุกระพุ้งแก้ม (buccal mucosa) จึงมีการนำยาต้านจุลชีพมาเสริมการรักษาเพื่อที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ตกค้างเหล่านี้
ขั้นตอนในการรักษาโรคปริทันต์อักเสบร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะ
- การให้ยาปฏิชีวนะควรให้หลังจากการรักษาโดยวิธีทางกล โดยการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟันและศัลยกรรมปริทันต์ (หรืออาจให้พร้อมการรักษาโดยวิธีทางกลในผู้ป่วยกลุ่มที่ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคปริทันต์อักเสบแบบรุกราน)
- ประเมินผลการรักษา หากพบว่าโรคไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยพบว่ามีการอักเสบและมีการสูญเสียการยึดเกาะปริทันต์เพิ่มขึ้น ควรทำการตรวจทางจุลชีววิทยาเพื่อหาเชื้อจุลชีพที่ก่อโรค โดยการเพาะเชื้อร่วมกับการทดสอบความไวของเชื้อต่อยา
- เลือกชนิดของยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม โดยนอกจากจะต้องทราบชนิดของเชื้อแล้ว ควรคำนึงถึงลักษณะทางเภสัชวิทยา พิษวิทยาของยา และสภาพของผู้ป่วย เช่น อายุ โรคประจำตัว และการแพ้ยา
- ประเมินผลการรักษาหลังจากที่ให้ยาปฏิชีวนะไป 1-3 เดือน โดยดูการตอบสนองทางคลินิก และทำการตรวจเชื้อจุลชีพซ้ำ เพื่อจะทราบว่าได้กำจัดเชื้อก่อโรคหรือยัง และประเมินว่ามีการติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยหรือไม่ ซึ่งโดยปกติหากตรวจพบปริมาณเชื้อกลุ่มสเต็ปโตค็อกคัส และเชื้อกลุ่มแอกติโนไมซิส มีปริมาณมากขึ้น แสดงถึงการมีสภาวะปริทันต์ที่ดีขึ้น
- หลังจากอาการของโรคปริทันต์ดีขึ้น ควรนัดผู้ป่วยมารักษาขั้นคงสภาพ โดยการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน กำจัดคราบจุลินทรีย์ และเน้นย้ำการทำความสะอาดช่องปาก แต่หากพบว่ามีการกลับมาเป็นซ้ำใหม่ของโรคควรจะทำการตรวจหาเชื้อก่อโรคที่หลงเหลืออยู่และทำการทดสอบความไวของเชื้อต่อยา เพื่อจะได้ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมต่อไป
การใช้ยาเพื่อส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย (host modulation)
เนื่องจากโรคปริทันต์เป็นโรคที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียโดยเชื้อแบคทีเรียและสารพิษของเชื้อสามารถกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้มีการหลั่งสารอักเสบต่างๆ ซึ่งสารอักเสบเหล่านี้ก่อให้เกิดการทำลายอวัยวะปริทันต์ตามมา ดังนั้นจึงมีการนำวิธีการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย (host modulation) มาใช้ร่วมกับการรักษาโรคปริทันต์ โดยการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถแบ่งออกเป็น
- การยับยั้งการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทอลโลโพรทีเนส (Matrix Metalloproteinases ; MMP) ที่ทำหน้าที่ในการทำลายเส้นใยคอลลาเจน ด้วยการใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าว
- การยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบ เช่น โพสตาแกรนดิน (prostaglandins) ด้วยการใช้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตรียรอยด์
- การยับยั้งการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก (osteoclast) โดยการใช้สารโบนสแพร์ริง (bone–sparing agents)