บทความ
หลักฐานเชิงประจักษ์ของโครงการเคลือบหลุมร่องฟันในประเทศไทย
การศึกษาผลของการเคลือบหลุมร่องฟันที่มีการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศมีผลเป็นที่น่าพอใจ โดยมีการยึดติดที่เวลา 2 ปี หลังการทำประมาณร้อยละ 75-97 และพบการเกิดฟันผุที่เวลา 2 ปี ประมาณร้อยละ 5 (1-3) ในขณะที่ผลของการดำเนินโครงการเคลือบหลุมร่องฟันในประเทศไทยพบการติดอยู่ของสารเคลือบหลุมร่องฟันที่เวลา 2 ปีเพียงร้อยละ 9-28 และพบการเกิดฟันผุที่เวลา 2 ปี ถึงร้อยละ 22-30 (4,5) การศึกษาในประเทศไทย พบว่ามีความแตกต่างของการยึดติดอยู่ของสารเคลือบหลุมร่องฟันและผู้ทำการเคลือบหลุมร่องฟันแต่ละคนอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ (4) และจากการศึกษาโดยผู้วิจัยชุดเดียวกัน ซึ่งทำการควบคุมปัจจัยต่างๆ ขณะทำการเคลือบหลุมร่องฟัน ได้แก่ การควบคุมความชื้น ความร่วมมือของนักเรียน การมีหรือไม่มีผู้ช่วยขณะทำ การจัดการกับปัญหาการปนเปื้อนของน้ำลายขณะทำก็ยังพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการติดอยู่ของสารเคลือบหลุมร่องฟันและการเกิดฟันผุในผู้ทำการเคลือบหลุมร่องฟันแต่ละคน (6)
นอกจากนี้ในการศึกษาเรื่องการสูญเสียสารเคลือบหลุมร่องฟันและผลต่อการเกิดฟันผุในภาคใต้ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า กรณีที่มีการสูญเสียสารเคลือบหลุมร่องฟันไปบางส่วน (partial lost) ในกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุสูงเป็นปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุเพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับฟันที่มีการสูญเสียสารเคลือบหลุมร่องฟันไปทั้งหมด (7) ซึ่งการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงผลของการนำมาตรการการป้องกันฟันผุไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในวงการแพทย์และสาธารณสุข (Physician performance improvement)
ในการทบทวนวรรณกรรมจะให้รายละเอียดโดยสังเขปของแต่ละวิธี และเหตุผลในการเลือกหรือไม่เลือกใช้สำหรับโครงการเคลือบหลุมร่องฟัน การนำมาตรการณ์ใดมาใช้ควรมีการประเมินให้มีหลักฐานเชิงประจักษ์
Evidence-based guidelines and practice recommendations
เป็นวิธีการที่มีการใช้อย่างกว้างขวางในวงการแพทย์และสาธารณสุข และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี 1990-2000 แต่จากการศึกษาของ Boyd et al. (8) แสดงให้เห็นว่าการนำ guidelines มาใช้อย่างเข้มงวดเกินไป ทำให้เกิดปัญหา drug interaction และมีต้นทุน 406$ ต่อเดือน นอกจากการมีการศึกษาพบว่าถึงแม้ว่าการมี guidelines ดูมีประโยชน์ช่วยเพิ่มความรู้และความระมัดระวังในการทำงาน แต่ผลที่ได้รับ (impact) ต่อการนำ guideline เหล่านี้ไปใช้ในการทำงานจริงๆ มีน้อย (9,10)
ในการเคลือบหลุมร่องฟันมีแนวทางการทำงาน ซึ่งมีการนำมาใช้และจัดอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไปแล้ว แต่ประสิทธิภาพของการเคลือบหลุมร่องฟันก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ (6) guideline ที่เกี่ยวข้องกับการเคลือบหลุมร่องฟันได้แก่ การเลือกซี่ฟันและเด็กที่ทำการเคลือบหลุมร่องฟัน วิธีการทำ และการแก้ไขปัญหาเมื่อมีการปนเปื้อนของน้ำลายขณะทำ (11-13)
Continuing Medical Education (CME)
CME เป็นคำรวมๆถึงวิธีการต่างๆในการเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งมีแนวคิดคือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้กันโดยทั่วไปในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน มีการศึกษาค่าเฉลี่ยของการเพิ่มพูนความรู้ในต่างประเทศของแพทย์พบว่ามีค่าประมาณ 1-3 สัปดาห์ต่อปี (14) มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า CME สามารถเพิ่มความรู้ของแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน (9) แต่ผลในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขึ้นกับกระบวนการหรือวิธีการในการจัด CME โดยพบว่าถ้าเป็นวิธีการจัด CME แบบเก่าๆ เช่น การสอนแบบทางเดียวไม่มีผลในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน (15) ข้อมูลจาก Cochrane Review แสดงให้เห็นว่าการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการแบบ interactive ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติงานต่างๆกัน ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดความสำเร็จคือขนาดของกลุ่ม วิธีการที่ทำให้เกิด interaction การให้โอกาสในการฝึกปฏิบัติ และการติดตามผล (16)
ในการทำโครงการเคลือบหลุมร่องฟันที่ผ่านมา (4, 6) มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการไป 4 ครั้ง ตั้งแต่ค้นหาปัญหา ฝึกปฏิบัติ และทบทวนความรู้ ถึงแม้ว่าจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน แต่ผลยังไม่น่าพอใจ (6) การปรับปรุงโดยจัดรูปแบบ interactive workshop กลุ่มเล็ก และให้โอกาสในการฝึกปฏิบัติ และมีการติดตามผลการทำงานเป็นวงจรคุณภาพของการปฏิบัติงาน
Public reporting
ในการทำงานของภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศไทยในปัจจุบัน ยึดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส จึงมีการนำเสนอข้อมูลและรายงานผลประกอบการและผลการทำงานให้กับสาธารณะทราบ มีการศึกษาการนำระบบการรายงานผลการปฏิบัติงานในระดับบุคคลมาใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเปรียบเทียบข้อมูลของแพทย์แต่ละคนได้ โดยเป็นการศึกษาเรื่อง Coronary artery bypass grafting (17) ผลการศึกษาพบว่า สามารถลดอัตราการตายจากร้อยละ 3.52 (ปี 1989) เป็นร้อยละ 2.78 (ปี 1992) อย่างไรก็ตามพบว่าจำนวนผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงถูกส่งต่อให้ไปรับการรักษาที่รัฐอื่น ผลที่เกิดขึ้นจากการนำระบบนี้มาใช้คือ การเลือกผู้ป่วยและการเปลี่ยนแปลงการรักษาเป็นแบบอื่นๆ เพื่อทำให้ผลการประเมินดีขึ้น
ในการนำระบบ public reporting มาใช้แล้วทำให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขึ้นกับหลายๆ ปัจจัย กล่าวคือ ความตระหนักของสาธารณชน (public awareness) ความเชื่อถือต่อข้อมูลของผู้ป่วย การทราบว่าจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลทางการแพทย์ที่ซับซ้อนมาให้ในระดับสาธารณะ อาจสร้างความเข้าใจผิดได้ง่าย นอกจากนี้การนำข้อมูลรายบุคคลมาเปิดเผยในที่สาธารณะอาจทำให้เกิดการไม่ยอมรับจากทันตบุคลากร
Pay-Por-performance
ผลการทบทวนวรรณกรรมโดย Cochrane group สรุปว่า การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยวิธีนี้ มีผลในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแพทย์ แต่ยังไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์มากพอที่จะสรุปว่ามีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานหรือไม่ (18) มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าวิธีการนี้ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของการให้ภูมิคุ้มกัน (immunization) (19) วิธีการนี้ได้มีการนำมาใช้ในโครงการเคลือบหลุมร่องฟัน ตั้งแต่ปี 2549 ผลการประเมิน พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักเรียนที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันเป็นอย่างมาก แต่ไม่พบการรายงานผลการเพิ่มขึ้นของการติดอยู่
Audit and feedback
เป็นวิธีการที่พบว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตและมีการศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้น วิธีการหลักๆ คือ การกำหนดและวัดดัชนีที่แสดงถึงคุณภาพหรือผลของการทำงานและนำเสนอข้อมูลนั้นต่อผู้ปฏิบัติแบบลับ โดยข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อมูลของบุคคลผู้ปฏิบัติงานนั้นโดยตรงหรือเจาะจงและข้อมูลเพื่ออ้างอิง ซึ่งอาจเป็นข้อมูลการปฏิบัติงานของผู้อื่นในภาพรวม ข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อให้เห็นเป้าหมายหรือข้อมูลที่เป็นมาตรฐานการปรับปรุงระบบ audit and feedback อาจทำได้โดยการกำหนด achievable benchmarks ซึ่งกำหนดจากระดับการปฏิบัติงานสูงสุด 10% แรก ซึ่งพบว่ามีการนำเทคนิคการกำหนด achievable benchmarks ไปใช้ได้ผลดีในหลายๆ การศึกษา เช่น การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน การดูแลผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน (20) มีการศึกษาเชิงประจักษ์ที่น่าสนใจในการนำระบบ audit and feedback ไปใช้ในการลดอัตราการผ่าตัดคลอด (21-24) ซึ่งมีรายละเอียดของการดำเนินงานที่ต่างๆกันไปดังนี้ Bickell และคณะ (21) ใช้ระบบ external peer reviews ไปตามโรงพยาบาลสัมภาษณ์ผู้ทำงานหลัก และตรวจจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยคลอด เพื่อประเมินคุณภาพการทำงานจากนั้นให้ข้อมูลย้อนกลับและเขียนรายงานสรุปสิ่งที่พบและคำแนะนำ Robson และคณะ (22) ใช้วิธี feedback loop โดยกำหนดมาตรฐานทางคลินิกและเปรียบเทียบกับข้อมูลในปัจจุบัน จากนั้นปรับเปลี่ยนระบบการจัดการเปรียบเทียบและปรับเปลี่ยนระบบเป็นลักษณะการดำเนินงานแบบวงจรคุณภาพ โดยมีการตรวจสอบและประชุมเดือนละครั้ง Althabe และคณะ (23) กำหนดนโยบายให้หา second opinion อย่างเป็นระบบก่อนทำการผ่าตัดคลอด โดยแพทย์คนแรกและคนที่สองใช้ guideline ที่กำหนดไว้ช่วยในการอภิปรายการตัดสินใจขึ้นกับแพทย์คนแรก Liang และคณะ (24) ใช้ระบบ peer review ในการผ่าตัดคลอด และการเฝ้าระวังหลังผ่าตัดคลอด มีระบบ second opinion ในทุกรายของการผ่าตัดคลอด มีการจัด conference ทุกอาทิตย์ การให้ข้อมูลย้อนกลับทำผ่านการจัด conference
ตัดตอนจากบทความ จันทร์พิมพ์ หินเทาว์, สุกัญญา เธียรวิวัฒน์ การยึดอยู่และกลวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการผนึกหลุมและร่องฟันในประเทศไทย.วารสารสาธารณสุขและการพัฒนา 2013;11(1):47-61.