บทความ
ภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยเนื่องจากรังสีรักษา (Radiation-induced xerostomia)
ต่อมน้ำลายเป็นอวัยวะที่มีความไวต่อรังสี (radiosensitivity) ดังนั้นการรักษามะเร็งของศีรษะและลำคอด้วยรังสีรักษาที่มีต่อมน้ำลายอยู่ในบริเวณที่ได้รับรังสีจะทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำลายทำงานน้อยเกิน (salivary gland hypofunction; SGH) และเกิดภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย (xerostomia)1-4 มีรายงานว่าปริมาณรังสีมากกว่า 52 เกรย์ (Gy) มีผลให้เกิดภาวะต่อมน้ำลายทำงานน้อยเกินแบบรุนแรง และปริมาณรังสีที่ไม่เกินระดับกระตุ้น (threshold) จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำลายแบบชั่วคราว5 อย่างไรก็ตามโดยปกติการรักษามะเร็งของศีรษะและลำคอนั้น ผู้ป่วยจะได้รับปริมาณรังสีทั้งหมด 50-70 เกรย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยแบบเรื้อรังในผู้ป่วยส่วนใหญ่5
โดยการหลั่งน้ำลายจะลดลงภายในสัปดาห์แรกของการได้รับรังสีรักษา และจะลดลงอย่างมากในช่วง 6 สัปดาห์แรกของการรักษา นอกจากนี้การหลั่งของน้ำลายอาจลดลงต่อไปจนถึง 3 เดือนหลังจากการรักษาเสร็จสมบูรณ์3,5 ในขณะที่ต่อมน้ำลายที่เหลือจะเกิดการเจริญเกิน (hyperplasia) เพื่อชดเชยให้มีการหลั่งน้ำลาย1 เนื่องจากต่อมหลั่งน้ำใส (serous gland) มีความไวต่อรังสีมากกว่าต่อมหลั่งเมือก (mucous gland)1 ดังนั้นต่อมน้ำลายหน้าหู (parotid salivary gland) จะมีความไวต่อรังสีมากกว่าต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง (submandibular salivary gland)5 เมื่อมีการฉายรังสีในตำแหน่งต่อมน้ำลายหน้าหูจึงเกิดผลกระทบต่อต่อมน้ำลายอย่างมากและผันกลับไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามต่อมหลั่งเมือกจะสามารถฟื้นกลับได้บางส่วน1 ซึ่งส่งผลต่อส่วนประกอบในน้ำลายและการหลั่งของน้ำลาย5 อย่างไรก็ตามต่อมน้ำลายอาจค่อย ๆ กลับมาทำงานได้ภายใน 1-2 ปี หากได้รับการฉายรังสีรักษาแบบแปรความเข้มรังสี (intensity-modulated radiation therapy; IMRT)1,3 หรือต่อมน้ำลายได้รับปริมาณรังสีไม่เกินระดับกระตุ้น โดยระดับกระตุ้นของต่อมน้ำลายหน้าหูมีค่าประมาณ 26 เกรย์ และต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่างมีค่าประมาณ 39 เกรย์3 นอกจากนี้การใช้ยาเอมิฟอสทีน (amifostine) ก่อนได้รับรังสีรักษาจะช่วยลดความรุนแรงของภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษามะเร็งของศีรษะและลำคอด้วยรังสีรักษา1
ภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษามะเร็งของศีรษะและลำคอด้วยรังสีรักษา เมื่อตรวจในช่องปากผู้ป่วยจะพบว่ามีปริมาณน้ำลายน้อย ไม่มีน้ำลายขังในบริเวณพื้นปาก น้ำลายเป็นฟอง เยื่อเมือกช่องปากแห้ง บางครั้งพบว่ากระจกตรวจช่องปากติดเยื่อเมือกช่องปาก พบคราบหรือรอยลิปสติกและเศษอาหารติดบริเวณฟัน อาจพบเยื่อเมือกช่องปากแดงโดยทั่วไป และด้านบนของลิ้นมีลักษณะแบ่งเป็นกลีบย่อย (lobulated appearance)1-3,6 ในผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยมักจะเกิดโรคราแคนดิดาในช่องปาก (oral candidiasis) และมุมปากอักเสบ (angular cheilitis)6 ภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมทั้งการทำงานของช่องปาก ได้แก่ การพูด การรับรส การเคี้ยวและการกลืน การใส่ฟันเทียม ส่งผลต่อภาวะทางโภชนาการและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม1-3 นอกจากนี้การเกิดภาวะต่อมน้ำลายทำงานน้อยเกิน ยังส่งผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคฟันผุ (xerostomia-related caries) หรือฟันผุเนื่องจากรังสีรักษา (radiation-induced dental caries) โดยมักพบรอยผุที่บริเวณปลายฟันหรือคอฟัน รวมทั้งพบการสึกเหตุบดเคี้ยว (attrition) การสึกเหตุขัดถู (abrasion) การสึกกร่อน (erosion) ลมหายใจเหม็นหรือปากเหม็น (halitosis) โรคราแคนดิดาในช่องปาก อาการแสบร้อนช่องปาก เพิ่มความไวของเยื่อเมือก (mucosal sensitivity) และความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเยื่อเมือกช่องปาก2,3,7 รวมทั้งเป็นปัจจัยชักนำให้เกิดโรคต่อมน้ำลายอักเสบ (sialadenitis) โดยเฉพาะต่อมน้ำลายหน้าหู2,6
การวินิจฉัยแยกโรคควรคำนึงถึงสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย ได้แก่ กลุ่มอาการโจเกร็น (SjÖgren’s syndrome) โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) โรคซาร์คอยด์ (sarcoidosis) และโรคอัลซไฮเมอร์ (Alzheimer’s disease) รวมถึงการรับประทานยาที่ส่งผลให้ต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ (medication-induced salivary gland dysfunction; MISGD)2,8 ภาวะน้ำลายน้อยเกิน (hyposalivation) เป็นการวินิจฉัยทางคลินิกซึ่งอาศัยข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจทางคลินิกและการวัดอัตราการไหลของน้ำลาย (salivary flow rate) หรือการตรวจเพื่อวัดปริมาตรของน้ำลายที่หลั่งออกจากต่อมน้ำลาย (sialometry) โดยภาวะน้ำลายน้อยเกิน คือ อัตราการหลั่งของน้ำลายที่ถูกกระตุ้น (stimulated salivary flow rate) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.5-0.7 มิลลิลิตรต่อนาที และอัตราการหลั่งของน้ำลายที่ไม่ถูกกระตุ้น (unstimulated salivary flow rate) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.1 มิลลิลิตรต่อนาที9
ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยควรได้รับคำแนะนำให้งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลลดการหลั่งของน้ำลาย หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แนะนำให้มีการใช้เจลหรือสเปรย์เพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปาก การเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมที่ปราศจากน้ำตาล การใช้น้ำลายเทียม (artificial saliva) หรือการจิบน้ำตลอดทั้งวัน1,6 ผู้ป่วยควรได้รับฟลูออไรด์ชนิดเฉพาะที่ (topical fluoride) ทุกวัน เช่น การทาเจลโซเดียมฟลูออไรด์ (sodium fluoride) ความเข้มข้นร้อยละ 0.1 หรือ เจลสแตนนัสฟลูออไรด์ (stannous fluoride) ความเข้มข้นร้อยละ 0.4 หรือน้ำยาบ้วนปากโซเดียมฟลูออไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.05 ร่วมกับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำเพื่อป้องกันและควบคุมโรคฟันผุ1,2,6 ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยแบบเรื้อรังอาจได้รับสารขับน้ำลาย (sialogogue; sialagogue) เช่น ไพโลคาร์พีน (pilocarpine) และเซวิเมลีน (cevimeline)1,6 อย่างไรก็ตามยากลุ่มนี้มีข้อห้ามใช้ (contraindication) ในผู้ป่วยโรคหืด (asthma) แผลในทางเดินอาหาร (gastrointestinal ulceration) ต้อหิน (glaucoma) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease; COPD) และโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease; CVD) นอกจากนี้ยังพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse drug reaction; ADR) ได้แก่ ภาวะเหงื่อออกมาก เยื่อจมูกอักเสบ ปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาการท้องอืด และความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด (circulatory disorder)1