บทความ
น้ำลายของผู้สูงอายุ (Salivary in the elderly)
การศึกษาในปัจจุบันระบุว่าการไหลของน้ำลาย (salivary flow) ลดลงในผู้สูงอายุเป็นผลมาจากโรคหรือผลทางเภสัชวิทยา (pharmacologic effect) ของยาที่ผู้สูงอายุได้รับมากกว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนตามวัย1-3 เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าการไหลของน้ำลายที่ลดลงจะไม่พบในอาสาสมัครผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีและไม่ได้รับประทานยา2 แต่มีรายงานวิจัยที่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอายุที่เพิ่มขึ้นกับการทำงานของน้ำลาย4 ในผู้สูงอายุพบว่าน้ำลายมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี (physiochemical change) โดยเอนไซม์อะไมเลส (amylase enzyme) จะมีปริมาณลดลงและน้ำเมือก (mucous) มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้น้ำลายมีความหนืดมากขึ้น5 อย่างไรก็ตามอาการปากแห้ง (dry mouth) หรือภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย (xerostomia) เป็นอาการหรือคำบ่นที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ประมาณ 1 คนใน 5 คนที่เป็นผู้สูงอายุมีอาการดังกล่าว6,7 ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะต่อมน้ำลายทำงานน้อยเกิน (salivary gland hypofunction; SGH) การมีโรคทั่วกาย (systemic disease) ยาที่ผู้สูงอายุได้รับ และการได้รับรังสีรักษา (radiotherapy) ในบริเวณศีรษะและลำคอ ล้วนเป็นสาเหตุของอาการปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย ในปัจจุบันมียาหลายร้อยชนิดที่ส่งผลให้ต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ (medication-induced salivary gland dysfunction; MISGD) โดยเฉพาะยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (tricyclic antidepressants) ยาระงับประสาท (sedative drugs) และยากล่อมประสาทหรือยากลุ่ม ทรานควิไลเซอร์ (tranquilizers) ยาลดความดันเลือด (antihypertensive drugs) ยาต้านฮิสตามีน (antihistamines) ยากลุ่มที่เป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxic drugs) และยาต้านพาร์กินสัน (anti-Parkinson drugs)3,8,9 นอกจากนี้กลุ่มอาการโจเกร็น (SjÖgren’s syndrome) โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) โรคซาร์คอยด์ (sarcoidosis) และโรคอัลซไฮเมอร์ (Alzheimer’s disease) ยังเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติของการไหลของน้ำลายได้3
การทำงานน้อยลงของต่อมน้ำลายและการไหลของน้ำลายที่ลดลงเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในช่องปากและคอหอย (pharyngeal) ในผู้สูงอายุ ได้แก่ เยื่อเมือกช่องปากแห้ง การหล่อลื่นในช่องปากลดลง อาจพบลักษณะเป็นรอยแตกที่ริมฝีปากและร่องที่ลิ้น หรือจุดเจ็บ (sore sport) ที่เยื่อเมือกช่องปากบริเวณใต้ฐานฟันเทียม5 ความสามารถในการต้านจุลชีพ (antimicrobial activity) ลดลง การเกิดฟันผุ การติดเชื้อรา กลุ่มอาการแสบร้อนในช่องปาก (burning mouth syndrome) รวมทั้งทำให้เกิดความลำบากในการเคี้ยว การกลืน การรับรู้รส และลดการยึดอยู่ (retention) ของฟันเทียมชนิดถอดได้4,5,8 นอกจากนี้พบว่าอาการปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยมักพบร่วมกับภาวะกระเพาะอาหารไม่หลั่งกรด (achlorhydria) ซึ่งเป็นสาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบ (gastritis)5 สามารถกล่าวโดยรวมได้ว่าอาการปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต (quality of life) ของผู้สูงอายุ3
ดังนั้นการวินิจฉัยและการจัดการอย่างเหมาะสมในระยะเริ่มแรกเป็นสิ่งจำเป็นในการลดผลเสียที่จะเกิดตามมาภายหลังจากการไหลของน้ำลายลดลง กระบวนการในการวินิจฉัยจะประกอบด้วยการทบทวนถึงประวัติและการตรวจร่างกายของผู้ป่วยโดยละเอียดรอบคอบ และอาจใช้การตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ การตรวจเพื่อวัดปริมาตรของน้ำลายที่หลั่งออกจากต่อมน้ำลาย (sialometry) การถ่ายภาพรังสีท่อน้ำลาย (sialography) การตรวจพยาธิสภาพของต่อมน้ำลายขนาดเล็กที่ริมฝีปากโดยการตัดเนื้อเยื่อออกตรวจ (labial salivary gland biopsy) และใช้เทคนิคการจับของสารกัมมันตรังสี เทคนีเซียม-99 เอ็ม ที่ต่อมน้ำลาย (Technitium-99m pertechnetate scintigraphy) รวมทั้งการปรึกษากับแพทย์ประจำตัวผู้ป่วยเพื่อเปลี่ยนยาหรือปรับขนาดยา (drug dosage) ที่สัมพันธ์กับอาการปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย3
ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยควรได้รับคำแนะนำให้งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลลดการหลั่งของน้ำลาย หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แนะนำให้มีการใช้เจลหรือสเปรย์เพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปาก การเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมที่ปราศจากน้ำตาล การใช้น้ำลายเทียม (artificial saliva) หรือการจิบน้ำตลอดทั้งวัน ผู้ป่วยควรได้รับฟลูออไรด์ชนิดเฉพาะที่ (topical fluoride) ในระยะยาว เช่น การทาเจลโซเดียมฟลูออไรด์ (sodium fluoride) ความเข้มข้นร้อยละ 0.1 หรือ เจลสแตนนัสฟลูออไรด์ (stannous fluoride) ความเข้มข้นร้อยละ 0.4 หรือน้ำยาบ้วนปากโซเดียมฟลูออไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.05 ร่วมกับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำเพื่อป้องกันและควบคุมโรคฟันผุ10,11 ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อยแบบเรื้อรังอาจได้รับสารขับน้ำลาย (sialogogue; sialagogue) เช่น ไพโลคาร์พีน (pilocarpine) และเซวิเมลีน (cevimeline) อย่างไรก็ตามยากลุ่มนี้มีข้อห้ามใช้ (contraindication) ในผู้ป่วยโรคหืด (asthma) แผลในทางเดินอาหาร (gastrointestinal ulceration) ต้อหิน (glaucoma) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease; COPD) และโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease; CVD) นอกจากนี้ยังพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse drug reaction; ADR) ได้แก่ ภาวะเหงื่อออกมาก เยื่อจมูกอักเสบ ปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาการท้องอืด และความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด (circulatory disorder)10