บทความ
เกิดจากการติดเชื้อ Mycobacterium tuberculosis เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง (chronic infectious disease) ที่ก่อให้เกิดโรคได้ทุกอวัยวะ แต่ประมาณ 80% ก่อโรคที่ปอด และแพร่กระจายผ่านการสัมผัสเชื้อจากละอองฝอย (air-borne droplet) 1,2
ระยะในการติดเชื้อวัณโรคสามารถแบ่งได้เป็นดังนี้
- วัณโรคระยะแฝง (latent TB) การติดเชื้อครั้งแรกจากการสัมผัสกับเชื้อที่ปอด (primary tuberculosis) ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการใดๆ (asymptomatic) เนื่องจากอยู่ในระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถที่จะควบคุมเชื้อได้ ทำให้เชื้อสามารถแฝงอยู่ในร่างกายได้นานเป็นปี โดยเมื่อตรวจด้วย skin test จะพบผลเป็นบวกเนื่องจากมีเชื้อแฝงตัวอยู่ แต่จะไม่มีการแพร่กระจายให้กับบุคคลอื่น และผู้ป่วยในระยะนี้ 5-10% สามารถที่จะพัฒนาไปเป็นวัณโรคในระยะแสดงอาการได้
- วัณโรคระยะแสดงอาการ (active TB) เป็นระยะที่ผู้ป่วยแสดงอาการออก โดยผู้ป่วยอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง (secondary tuberculosis) หรือผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่อง เป็นเบาหวาน คนสูงอายุ อาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นชุมชนแออัดและสุขอนามัยไม่ดี และนอกจากนี้ยังพบว่าโรคเอดส์เป็นปัจจัยที่สำคัญและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อวัณโรคได้ มีการแพร่กระจายของเชื้อผ่านระบบไหลเวียนเลือดและต่อมน้ำเหลือง และกระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
ลักษณะทางคลินิก
ผู้ป่วยในระยะแสดงอาการ (active disease) จะพบว่ามีก้อนแคลเซียมอยู่บริเวณที่มุมขอบของปอด และมีเชื้อกระจายไปยังอวัยวะต่างๆผ่านทางระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยเนื้อตัว น้ำหนักลด เหงื่อออกมากตอนกลางคืน ไอแห้งเป็นระยะเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการเจ็บหน้าอกและไอออกมาเป็นเลือดหรือมีเลือดปนในเสมหะ (hemoptysis)
การติดเชื้อวัณโรคนอกปอด (extrapulmonary TB) พบได้มากถึง 50% ในผู้ป่วยที่มีโรคเอดส์ร่วมด้วย3 อาจเกิดขึ้นในอวัยวะใดก็ได้ เช่น ผิวหนัง กระดูก ระบบประสาทส่วนกลาง ไต และระบบทางเดินอาหาร 1,3
รอยโรควัณโรคในช่องปากจะพบได้น้อย ประมาณ 0.5-5.0% ของเคสผู้ป่วย1 โดยมักจะแสดงลักษณะเป็นแผลเรื้อรังไม่หาย (chronic ulceration) รอยโรคที่ลิ้นพบได้มากที่สุด ตามด้วยมีการบวมของขากรรไกรล่างซึ่งสัมพันธ์กับการติดเชื้อในกระดูก วัณโรคในช่องปากมักจะพบร่วมกับการบวมโตของต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ (ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับการเกิดมะเร็งชนิด squamous cell carcinoma ในช่องปากที่มักพบว่ามีการบวมโตของต่อมน้ำเหลืองร่วมด้วย) การเกิด primary oral TB เกิดขึ้นได้ยาก แต่อาจพบได้ในผู้ป่วยเด็กหรือวัยรุ่น1
ลักษณะทางจุลพยาธิ
พบการอักเสบแบบ granulomatous inflammation1 มีกลุ่มก้อนเซลล์อักเสบที่ประกอบไปด้วยเซลล์ lymphocytes กระจายอยู่รอบนอก เซลล์ histiocytes ที่มีลักษณะคล้าย epithelium เรียกว่า epithelioid histiocytes และเซลล์ขนาดใหญ่หลายนิวเคลียส (multinucleated giant cells) ที่มีนิวเคลียสหลายอันเรียงตัวกันเป็นรูปเกือกม้าอยู่ตรงขอบเซลล์ เรียกว่า Langhans giant cells และพบการตายของเซลล์แบบ caseous necrosis3
การย้อมพิเศษเพื่อหาตัวเชื้อ TB นั้นสามารถทำได้โยการส่งย้อมพิเศษ Ziehl-Neelsen หรือการย้อม acid-fast staining เพื่อแสดงตัวเชื้อ mycobacteria1
การให้การวินิจฉัยแยกโรค
ลักษณะทางคลินิก อาการ และอาการแสดงของวัณโรคในช่องปากนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆได้ เช่น มะเร็ง squamous cell carcinoma การติดเชื้อราประเภท deep fungal infection มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non-Hodgkin’s lymphoma แกรนูโลมาโตซิสช่องปากใบหน้า (orofacial granulomatosis) โรคซาร์คอยโดซิส (sarcoidosis) ดังนั้นจึงควรตัดชิ้นเนื้อเพื่อไปตรวจทางจุลพยาธิ ร่วมกับการเพาะเชื้อต่อไป1,3
ข้อคำนึงในการให้การรักษาทางทันตกรรม
สำหรับการรักษาทางทันตกรรม ถ้าผู้ป่วยยังอยู่ในระยะติดต่อ (active TB) ไม่ควรให้การรักษาทางทันตกรรม ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน โดยปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ทันตแพทย์และผู้ช่วยควรแต่งตัวป้องกันให้มิดชิดและสวมหน้ากากชนิด N95 นัดหมายผู้ป่วยเป็นรายสุดท้าย ให้การรักษาในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ขณะทำการรักษาไม่ควรทำให้เกิดละอองฟุ้งกระจาย ควรใช้เครื่องดูดเสมหะเฉพาะที่ ในกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน ควรวางแผนการรักษาทางทันตกรรมหลังจากผู้ป่วยได้รับยาตามสูตรมาตรฐานแล้วอย่างน้อย 2 เดือน โดยแพทย์ผู้ให้การรักษายืนยันว่าผู้ป่วยไม่อยู่ในระยะแพร่เชื้อแล้ว4