บทความ
การประเมินอายุเป็นกระบวนการสำคัญในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยทั่วไปสามารถประเมินได้จากการเจริญของฟัน(tooth development) แต่วิธีนี้มีความแม่นยำในช่วงเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น หลังจากฟันขึ้นครบและปลายรากฟันทุกปิดลงเรียบร้อยก็ไม่สามารถใช้ประเมินอายุได้อีก ดังนั้นจึงมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีประเมินอายุวิธีอื่นเพื่อใช้ในกรณีที่ฟันขึ้นสมบูรณ์แล้ว เช่น การประเมินจากการสึกของฟัน หรือความโปร่งแสงของรากฟัน รวมถึงการประเมินอายุจากน้ำลาย น้ำลายเป็นสารคัดหลั่งสำคัญในช่องปากที่มักพบอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ โดยติดอยู่บนวัตถุพยานที่สัมผัสกับช่องปาก เช่น แก้วน้ำ ช้อน ส้อม ก้นบุหรี่ หรือแม้แต่ในรอยกัด(bite mark) บนตัวผู้เสียหายจึงมีประโยชน์ในงานทางนิติวิทยาศาสตร์ ภายในน้ำลายมีองค์ประกอบหลากหลายประการรวมทั้งยังเป็นมีเซลล์ที่สามารถสกัดสารพันธุกรรมได้ เช่น เซลล์เยื่อบุแก้มที่หลุดลอก(desquamated buccal epithelial cells) หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มาจากร่องเหงือกหรือจากบาดแผลในช่องปาก จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับการนำสารพันธุกรรมที่สกัดจากน้ำลายมาประยุกต์ใช้ในงานนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่นการตรวจระดับยาหรือสารเสพติด การตรวจวิเคราะห์เชื้อจุลชีพในช่องปาก รวมถึงเพื่อใช้ในการประเมินอายุด้วย เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารชีวโมเลกุลในร่างกายตลอดจนสารพันธุกรรมในเซลล์< เช่น การหลุดหาย(deletion) ของดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรีย(mitochondrial DNA) หรือการลดขนาดของเทโลเมียร์(telomere) ของดีเอ็นเอในนิวเคลียส(nuclear DNA) (1,2) รวมถึงกระบวนการปรับเปลี่ยนสารพันธุกรรมในระดับเหนือพันธุกรรม(epigenetic modification) ด้วย การปรับเปลี่ยนสารพันธุกรรมในระดับเหนือพันธุกรรม เป็นการควบคุมการแสดงออกของยีน(gene) โดยอาศัยปัจจัยหรือกระบวนการอื่นที่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงลำดับของนิวคลีโอไทด์(nucleotide) ในสายดีเอ็นเอ(DNA) ของสิ่งมีชีวิต ทำให้ยีนเหล่านั้นมีการแสดงออก(expression) เปลี่ยนแปลงไปจากที่ควรเป็นตามปกติ การควบคุมการแสดงออกในลักษณะนี้อาจสามารถคงอยู่ได้หลังการแบ่งเซลล์
รวมถึงคงอยู่และส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อๆ ไปได้ การปรับเปลี่ยนการแสดงออกของยีนแบบนี้มีหลายวิธี เช่น การเติมหมู่เมธิลบนดีเอ็นเอ (DNA methylation) (3,4) การเติมหมู่เมทิลบนดีเอ็นเอเป็นกระบวนการเพิ่มหมู่เมทิล(methyl group, -CH 3 ) เข้าไปบนสายดีเอ็นเอโดยมักเกิดขึ้นในตำแหน่งนิวคลีโอไทด์ที่มีลำดับเบสไซโทซีน(cytosine, C) เรียงอยู่ต่อหน้าเบสกวานีน(guanine, G) เรียกตำแหน่งนี้ว่าว่าซีพีจีนิวคลีโอไทด์(CpG nucleotide) บริเวณที่มีซีพีจีนิวคลีโอไทด์อยู่หนาแน่นถูกเรียกว่าซีพีจีไอซ์แลนด์(CpG island) ซึ่งมักพบในบริเวณโปรโมเตอร์(promoter) สำหรับการถอดรหัสดีเอ็นเอ(DNA transcription) ในเซลล์ปกตินั้น การเติมหมู่เมทิลบนเบสไซโทซีน โดยอาศัยเอนไซม์ดีเอ็นเอเมทิลทรานเฟอเรส(DNA methyltransferase) ก่อปฏิกิริยาการเติมหมู่เมทิลที่ตำแหน่งคาร์บอนตัวที่ 5(C-5) ของเบสไซโทซีน เปลี่ยนเบสไซโทซีนให้เป็น 5- เมทิลไซโทซีน (5-methylcytosine) หลังจากนั้น ซีพีจีไอซ์แลนด์ที่เกิดการเติมหมู่เมทิลแล้วจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติยับยั้งการถอดรหัสดีเอ็ นเอ (transcriptional co-repressors) มาจับ และส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนโปรตีนฮิสโตน (histone modification) นำไปสู่การขดตัวของสายดีเอ็นเอ จนเอนไซม์ต่างๆสำหรับการถอดรหัสดีเอ็นเอไม่สามารถเข้าจับกับดีเอ็นเอได้ เป็นเหตุให้ยีนบนสายเอ็นเอดังกล่าวถูกยับยั้งการแสดงออก(gene silencing) (5-7) อย่างไรก็ตาม การเติมหมู่เมทิลยังได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้อายุที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อการเติมหมู่เมทิลในแต่ละยีนแตกต่างกันไป บางยีนมีการเติมหมู่เมทิลเพิ่มขึ้นโดยไม่สัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น(epigenetic drift) ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ในขณะที่บางยีนมีการเติมหมู่เมทิลเพิ่มขึ้นสัมพันธ์โดยตรงกับอายุที่เพิ่มขึ้น(epigenetic clock) และความสัมพันธ์กับอายุของยีนกลุ่มนี้ยังคงพบคล้ายคลึงในแต่ละบุคคลด้วย นอกจากที่รูปแบบการเติมหมู่เมทิลแตกต่างกันไปในแต่ละยีนแล้ว ยังพบว่ามีรูปแบบแตกต่างกันไปในเซลล์หรือเนื้อเยื่อแต่ละประเภทอีกด้วย การเลือกยีนที่มาวิเคราะห์ด้วย ดังนั้นการประเมินอายุโดยการวิเคราะห์การเติมหมู่เมทิลจึงต้องเลือกยีนให้มีความจำเพาะทั้งตำแหน่งยีนและประเ ภทของเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ใช้วิเคราะห์เพื่อความแม่นยำในการประเมิน ส่งผลให้ควรศึกษาข้อมูลจากน้ำลายโดยเฉพาะ (8-10)
ในปี ค.ศ. 2011 S Bocklandt และคณะ (11) ได้รายงานความสัมพันธ์ของอายุการวิเคราะห์การเติมหมู่เมทิลจากน้ำลายเป็นครั้งแรก โดยทำการศึกษาการเติมหมู่เมทิลในสารพันธุกรรมที่สกัดจากน้ำลายใน 3 ตำแหน่ง คือ ซีพีจีนิวคลีโอไทด์ ของยีน NPTX2, EDARADD และ TOM1L1 เพื่อนำมาสร้างสมการประเมินอายุขึ้น สมการที่ได้มีความแม่นยำในระดับที่ดีโดยมีความผิดพลาดในการทำนายอายุเฉลี่ย(mean absolute deviation) 5.2 ปี อย่างไรก็ดีการศึกษาครั้งนี้ประเมินความผิดพลาดโดยใช้กระบวนการทางสถิติคำนวณจากข้อมูลของกลุ่มอาสาสมัค รชุดเดียวกับที่นำมาสร้างสมการ ไม่ได้ประเมินจากข้อมูลของอาสาสมัครชุดใหม่ที่ไม่ได้ใช้สร้างสมการ จึงทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง รวมถึงเซลล์ที่พบในน้ำลายเองประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุแก้ม และเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์คนละชนิดกันและมีเซลล์ต้นกำเนิดแตกต่างกันมาก เซลล์เยื่อบุแก้มมีต้นกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก(ectoderm) ในขณะที่เซลล์เม็ดเลือดขาวมีต้นกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง(mesooderm) รูปแบบการเติมหมู่เมทิลจึงแตกต่างกันด้วย ดังนั้นการวิเคราะห์จากน้ำลายทั้งหมดจะทำให้ได้ข้อมมูลที่ปะปนกันของเซลล์ทั้งสองชนิดจึงอาจแปลผลการประเมิ นอายุผิดพลาดได้ ด้วยเหตุนี้ ในปี ค.ศ. 2017 SR Hong และคณะ (12) จึงได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมโดยเลือกวิเคราะห์ตำแหน่งซีพีจีนิวคลีโอไทด์ที่มีความสัมพันธ์กับอายุ (Age associated CpG) 6 ตำแหน่งบนยีน SST, CNGA3, KLF 14, TSSK6, TBR1 และ SLC12A5 และซีพีจีนิวคลีโอไทด์ที่มีความจำเพาะกับเซลล์(Cell type specific CpG) 1 ตำแหน่งบนยีนPTPN7 เพื่อนำมาสร้างสมการประเมินอายุและประเมินประสิทธิภาพของสมการที่ได้ในข้อมูลจากกลุ่มอาสาสมัครกลุ่มใหม่ ที่ไม่ได้นำข้อมูลมาใช้ในการสร้างสมการ ผลการศึกษาพบว่า สมการประเมินอายุที่พัฒนาจากซีพีจีนิวคลีโอไทด์ที่มีความสัมพันธ์กับอายุ 6 ตำแหน่งมีประสิทธิภาพในการประเมินอายุโดยมีความผิดพลาดในการทำนายอายุเฉลี่ย 4.1 ปี แต่ถ้าเพิ่มซีพีจีนิวคลีโอไทด์ที่มีความจำเพาะกับเซลล์เข้าไปในสมการประเมินอายุรวมเป็นใช้ซีพีจีนิวคลีโอไทด์ 7 ตำแหน่ง มีผลให้สมการประเมินที่ได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีก โดยมีความผิดพลาดในการทำนายอายุเฉลี่ยลดลงเหลือ 3.15 ปี ซึ่งความผิดพลาดนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับการวิเคราะห์การเติมหมู่เมทิลจากเลือดหรือสารคัดหลั่งอื่น (12,13) และยังชี้ให้ข้อควรระวังเมื่อมีเซลล์หลายชนิดปะปนกันทำให้ความแม่นยำลดลงได้
ปัจจุบันการประเมินอายุด้วยการวิเคราะห์การเติมหมู่เมทิลจากน้ำลาย หรือสารคัดหลั่งอื่นๆ เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในการศึกษาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในงานทางนิติพันธุศาสตร์(forensic genetics) (14) เนื่องจากมีความแม่นยำมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถประเมินจากการขึ้นของฟันได้ แต่วิธีการนี้ยังมีการศึกษาอยู่ไม่มากนัก จึงยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในอีกหลายประเด็นเพื่อพัฒนาเป็นวิธีมาตรฐานในงานนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป