บทความ
การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในปัจจุบันอาศัยการนำข้อมูลที่มีความจำเพาะบุคคล ได้แก่ ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ(DNA fingerprint) ลายพิมพ์นิ้วมือ และเอกลักษณ์ฟัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลก่อนเสียชีวิต (antemortem data) และข้อมูลหลังเสียชีวิต(postmortem data) เพื่อยืนยันตัวบุคคล โดยทั่วไปข้อมูลหลังเสียชีวิตสามารถรวบรวมได้จากร่างกายของผู้เสียชีวิตที่พบในสถานที่เกิดเหตุโดยตรง แต่ในบางกรณีที่โครงสร้างร่างกายที่พบในสถานที่เกิดเหตุถูกทำลายมากมีผลให้การรวบรวมข้อมูลหลังเสียชีวิต เหล่านี้กระทำได้ยาก เช่น กรณีเหตุอัคคีภัย อุณหภูมิที่เกิดขึ้นในการฌาปนกิจ(cremation) อยู่ในช่วง 800 ถึง 1,200 องศาเซลเซียส (1,2) หรืออาจสูงได้มากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส (3) ซึ่งทำลายโครงสร้างร่างกายจนกลายเป็นอัฐิ แต่ความร้อนจากเหตุอัคคีภัยอาจจะน้อยกว่านั้นทำให้ร่างกายผู้เสียชีวิตยังคงรูปแต่อยู่ในสภาพที่ตรวจพิสูจน์ได้ ยาก ทั้งนี้เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นจะทำลายเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกายจนไม่สามารถรวมรวมข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือ หรือสกัดสารพันธุกรรมจากเนื้อเยื่ออ่อนได้ และเมื่ออุณหภูมิมากกว่า 300 องศาเซลเซียสจะไม่สามารถสกัดสารพันธุกรรมได้ แม้จากภายในเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน(dental pulp) (4) ด้วยเหตุนี้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในกรณีเหตุอัคคีภัยจึงมักอาศัยเอกลักษณ์ฟันเป็นหลัก เนื่องจากฟันเป็นโครงสร้างที่ทนความร้อนได้สูง โดยที่โครงสร้างของเนื้อฟัน(dentin) เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับอุณหภูมิเกิน 600 องศาเซลเซียส ในขณะที่โครงสร้างของแท่งเคลือบฟัน(enamel rod) เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับอุณหภูมิเกิน 800 องศาเซลเซียส (5) และเมื่อฟันได้รับอุณหภูมิมากกว่า 1,000 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานจะสูญเสียส่วนประกอบอินทรีย์(organic component) ทำให้โครงสร้างฟันหดตัว(shrinkage) เปราะ(fragile) และร้าว(cracking) (6) ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการรวบรวมข้อมูลเอกลักษณ์ฟันเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างฟันที่เปรา ะจากความร้อน นอกจากนี้ ฟันที่เปราะยังอาจถูกทำลายโดยบังเอิญจากการกระแทกทั้งจากชิ้นส่วนของโครงสร้างอาคารที่แตกหักร่วงหล่น จากเพลิงไหม้ หรือจากทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทำให้ฟันเสียหายจนรวบรวมข้อมูลหลังเสียชีวิตได้ยากหรือไม่ได้เลยในบางครั้ง ดังนั้นจึงต้องใช้ลักษณะข้อมูลอื่นที่มีเหมาะสมเพื่อช่วยในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในกรณีอัคคีภัย ซึ่งวิธีหนึ่งที่ได้รับการเสนอคือการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากรากเทียมทางทันตกรรม(dental implant)
รากเทียมทางทันตกรรมเป็นวิธีการบูรณะเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยการใช้รากเทียมฝังยึดในกระดูกขากรรไกร เลียนแบบลักษณะของรากฟันธรรมชาติสำหรับรองรับฟันเทียมติดแน่นหรือฟันเทียมถอดได้ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของฟันเทียมช่วยให้การบดเคี้ยวของผู้ป่วยมีประสิทธิภาพและมีความสวยงามใกล้เคียงกับฟั นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องกรอแต่งฟันข้างเคียงเหมือนกับการบูรณะทดแทนฟันด้วยวิธีอื่น แม้ว่าการบูรณะด้วยรากเทียมจะยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน(7) เป็นเหตุให้มีโอกาสที่จะพบรากเทียมในช่องปากของผู้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้รากเทียมในปัจจุบันส่วนใหญ่ผลิตจากโลหะผสมไทเทเนียม(titanium alloy) จึงมีความต้านทานการผุกร่อนสูง(corrosion resistance) และจุดหลอมละลาย(melting point) มากกว่า 1,600 องศาเซลเซียส (8) ทำให้ยังคงตรวจพบได้ในช่องปากของผู้เสียชีวิตที่พบในบริเวณที่เกิดเหตุอัคคีภัย อย่างไรก็ตามรากเทียมเป็นวัสดุที่ผลิตครั้งละจำนวนมาก (mass production) ทำให้รากเทียมแต่ละชิ้นคล้ายคลึงกันและสูญเสียลักษณะจำเพาะของชิ้นงานที่เป็นประโยชน์ในการพิสูจน์เอกลั กษณ์บุคคล (9) แต่การออกแบบรูปร่างของรากเทียมของผู้ผลิตแต่ละบริษัทยังคงมีความแตกต่างกันไปจากเกลียว(thread) ร่อง(groove) รู(perforation) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง หรือรูปแบบจำเพาะอื่นของผู้ผลิต ช่วยให้สามารถบอกบริษัทผู้ผลิตได้และอาจเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลต่อไป (10,11) นอกจากนี้การระบุเลขที่ครั้งที่ผลิต(Batch number) ลงไปด้านในของรากเทียมจะช่วยให้จำกัดขอบเขตผู้ต้องสงสัยว่าเสียชีวิตให้ลดน้อยลง จึงทำให้การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น (12) ปัจจุบันมีรากเทียมมากกว่า 460 รูปแบบ (13) ที่ผลิตจากบริษัทมากกว่า 80 แห่ง (14) แต่มีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่มีการระบุเลขที่ครั้งที่ผลิตไว้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เช่น Straumann TM noble biocare และ ankylos เป็นต้น เลขที่ครั้งที่ผลิตนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้านในรากเทียม แต่เมื่อถูกเพลิงไหม้ รากเทียมที่ไม่ได้ยึดกับเดือยรองรับฟันเทียม(implant abutment) จะมีชั้นออกไซด์(oxide layer) ที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน(oxidation reaction) บดบังเลขที่ครั้งที่ผลิต แต่หากรากเทียมที่ยึดกับเดือยรองรับฟันเทียม เมื่อถอดเดือยออกจะยังมองเห็นเลขที่ครั้งที่ผลิตอยู่ได้แต่มีเพียงสีของด้านในรากเทียมที่เปลี่ยนไป แต่ชั้นออกไซด์ที่เกิดขึ้นระหว่างรากเทียมกับเดือยจะทำให้รากเทียมยึดติดกับเดือยแน่นมากขึ้นจนยากต่อการแ ยกเดือยออกเพื่อตรวจหาเลขที่ครั้งที่ผลิต จึงต้องการเครื่องมือพิเศษเพื่อช่วยแยกเดือยโดยไม่ทำลายเลขที่ครั้งที่ผลิตที่อยู่ด้านในรากเทียม (15) ถึงแม้รากเทียมจะมีจุดหลอมละลายสูงมากกว่า 1,600 องศาเซลเซียส แต่การถูกเผาไหม้ในเหตุอัคคีภัยเป็นเวลานานก็อาจมีผลให้เกิดการคืบ(creep) ในรากเทียมได้
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบถาวร (plastic deformation) ของวัสดุ ที่เกิดจากได้รับแรงกระทำปริมาณไม่มาก ก่อให้เกิดความเค้น(stress) ในรากเทียมขนาดต่ำกว่าความเค้นของการวิบัติ(failure) แต่การได้รับแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานที่อุณหภูมิสูงมากกว่า 0.3 ถึง 0.4 เท่าของจุดหลอมเหลวของวัสดุ ทำให้อะตอมภายในรากเทียมเคลื่อนตัวไปบริเวณที่มีความเค้นต่ำกว่า ความเครียดของรากเทียมจึงเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในลักษณะที่สัมพัทธ์กับเวลา(time-dependent strain) จนรากเทียมเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปไป (16) ผลการศึกษาเปรียบเทียบภาพรังสีของรากเทียมก่อนและหลังการได้รับความร้อนสูงแทบจะไม่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าไม่มีการคืบที่สามารถมองเห็นได้(visible) เกิดขึ้น (9) แต่ภาพรังสีของรากเทียมหลังได้รับความร้อนมีขนาดกว้างขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน 0.1 มิลลิเมตร ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน เมื่อได้รับความร้อนสูง (17) ดังนั้นรากเทียมจึงมีความต้านทานต่อความร้อนสูงสามารถใช้ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าอย่างมากในการศึกษาและพัฒนาของเทคโนโลยีการผลิตรากเทียมในปัจจุบัน ทำให้มีการนำรูปแบบที่ดีของรากเทียมแบบต่างๆ มารวมเข้าด้วยกันจนได้รูปแบบใหม่ๆ และนำมาใช้แทนที่รากเทียมรูปแบบเดิม รากเทียมแบบเก่าหลายรูปแบบจึงเลิกใช้ไป ซึ่งแม้พัฒนาการดังกล่าวทำให้การจำแนกประเภทหรือผู้ผลิตรากเทียมได้ยากมากขึ้น แต่ก็มีข้อดีเพราะหากพบรูปแบบของรากเทียมที่เลิกใช้ไปแล้วในช่องปากผู้เสียชีวิตจะช่วยให้ประมาณช่วงอายุ ของผู้เสียชีวิตเบื้องต้นได้จากช่วงเวลาที่เคยมีการใช้รากเทียมรูปแบบนั้น (18) การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยรากเทียมอาจอาศัยการเปรียบเทียบภาพรังสีก่อนและหลังเสียชีวิต (19) หรือเปรียบเทียบกับข้อมูลของผู้ผลิต (18) แต่ด้วยรูปแบบของรากเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบันทำให้จำแนกรูปแบบต่างๆ ได้ยากมากขึ้นจึงมีการรวบรวมภาพรังสีของรากเทียมรูปแบบต่างๆ ไว้เพื่อช่วยในการเปรียบเทียบกับข้อมูลภาพรังสีหลังเสียชีวิต (20) โดยภาพรังสีรากเทียมหลังเสียชีวิตควรถ่ายพร้อมกับวัตถุทึบรังสีที่ทราบขนาดแน่นอน และถ่ายภาพรังสีในสองแนวคือตั้งฉากและเอียงทำมุมประมาณ 30 องศากับรากเทียม เพื่อช่วยให้เห็นเกลียว ร่อง หรือรูในรากเทียมชัดเจนสำหรับการเปรียบเทียบได้เหมาะสมยิ่งขึ้น (18) อย่างไรก็ตามการศึกษาเกี่ยวกับรากเทียมในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในการปัจจุบันยังมีอยู่จำกัด ไม่ทันต่อการพัฒนาที่รวดเร็วในการออกแบบและผลิตรากเทียม (11,18) จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปเพื่อสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้แม่นยำมาก ขึ้น