บทความ
ยาต้านจุลชีพที่ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อภายหลังการทำศัลยกรรมรากเทียม
ยาต้านจุลชีพที่ใช้บ่อยในการป้องกันการติดเชื้อในงานทันตกรรม ได้แก่ ยาในกลุ่ม penicillin และcephalosporin ซึ่งเป็นยาต้านจุลชีพที่ออกฤทธิ์ในการฆ่าแบคทีเรีย และมีโครงสร้างทางเคมี และกลไกการออกฤทธิ์ที่เหมือนกัน โดยไปยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
Resnik และ Misch ได้เสนอในปี 2008 ถึงยาต้านจุลชีพในการทำศัลยกรรมรากเทียมและปลูกกระดูก โดยแนะนำให้ใช้ amoxicillinหรือ cephalexin (ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ penicillinแต่ไม่รุนแรงถึง anaphylaxis โดยมีรายละเอียดในตารางที่ 1(1)
ประเภท และ ลักษณะของผู้ป่วย |
ลักษณะหรือชนิดการผ่าตัด |
ยาต้านจุลชีพที่ควรให้ |
น้ำยาบ้วนปาก |
ASA 1 หรือ ASA 2 |
-ถอนฟันที่ไม่ติดเชื้ออย่างง่าย -ฝังรากเทียม 1 ซี่ -ผ่าตัดขั้นที่ 2 ของงานศัลยกรรมรากเทียม -การผ่าตัดที่มีการเปิดเนื้อเยื่ออ่อนเพียงเล็กน้อย |
ไม่จำเป็นต้องให้ |
ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ |
ASA 1 หรือ ASA 2 |
-ถอนฟันหลายซี่ ถอนฟันที่มีความยุ่งยากซับซ้อน -ศัลยกรรมรากเทียมหลายซี่แต่มีการเปิดแผลผ่าตัดไม่ใหญ่มาก -การปลูกกระดูกในแผลถอนฟัน -การใส่รากเทียมทันทีภายหลังการ ถอน ฟัน (ฟันไม่มีพยาธิสภาพ) |
amoxicillin1 กรัม ให้ 1 ชั่วโมง ก่อนทำศัลยกรรมและให้ 500 มิลลิกรัม 6 ชั่วโมงภายหลังจากให้ยาครั้งแรก |
ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ |
ASA 1 หรือ ASA 2 |
-การปลูกกระดูกด้วย allograft, xengraft alloplast ร่วมกับการใช้แผ่นปิด (membrane) -การทำศัลยกรรมรากเทียมหลายซี่และมีการเปิดแผลผ่าตัดค่อนข้างกว้าง |
amoxicillin1 กรัม 1 ชั่วโมงก่อนการทำศัลยกรรม และให้ 500 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งต่อเนื่องไปอีก 3 วัน |
ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ |
มากกว่า ASA 2 หรือ -ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ -โรคปริทันต์ที่ยังไม่รับการควบคุม |
-การใส่รากเทียมทั้งขากรรไกรร่วมกับการเปิดแผลผ่าตัดอย่างมาก -เสริมกระดูกในโพรงอากาศแม็กซิลล่าร่วมกับการใส่รากเทียม -การปลูกกระดูกโดยใช้กระดูกตนเอง -การผ่าตัดที่ใช้เวลานาน -การผ่าตัดที่ทำโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย |
amoxicillin 1 กรัม 1 ชั่วโมงก่อนทำศัลยกรรมและ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งต่อเนื่องไปอีก 5 วัน |
ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ |
ASA 1 หรือ ASA 2 |
การปลูกกระดูกในโพรงอากาศแม็กซิลล่าทุกชนิด |
Amoxicillin/ clavuante 875 มิลลิกรัม /125 มิลลิกรัม 2 เม็ด เริ่มต้น 1 วันก่อนทำศัลยกรรม และให้ 1 กรัม วันละ 2 ครั้งต่อเนื่องไปอีก 5 วัน |
ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 สัปดาห์ |
Resnik และ misch ในปี 2008 ได้เสนอว่ายาต้านจุลชีพที่ควรใช้ในกรณีที่ผ่าตัดบริเวณโพรงอากาศแม็กซิลล่า ได้แก่ amoxicillin/ clavuante หรือ ceftin ในกรณีที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ penicillin แต่ไม่ใช่ชนิด anaphylaxis หรือ levaquin (ในกรณีผู้ป่วยแพ้ penicillin ชนิด anaphylaxis หรือมีประวัติว่าได้รับยา amoxicillin/ clavuante ในเวลาไม่นาน)(1)
เนื่องจากผลตามของการเกิดการติดเชื้อของงานศัลยกรรมรากเทียมค่อนข้างสูงและอาจทำให้รากเทียมเกิดปัญหาในการยึดติดกับกระดูก ศัลยแพทย์ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลที่ได้รับ และความเสี่ยงจากการใช้ยาต้านจุลชีพที่นานมากขึ้น(1)
ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาว่ามีการติดเชื้อ ได้แก่มีหนองไหล มีรูเปิดระบายหนอง หรือมีอาการ ปวด บวมแดงร้อน (หรือมีไข้) ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดในช่วงแรก (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) และอาจจะทำให้รากเทียมมี กระดูกล้อมรอบละลาย หรือไม่ยึดติดกับกระดูกในช่วงหลังได้ (เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 4 สัปดาห์แรกจนถึงขั้นตอนที่ต่อ abutmentเข้ากับรากเทียม)(1-2)
การติดเชื้อภายหลังการทำศัลยกรรมรากเทียม อาจจะส่งผลให้เกิดกระดูกของรากเทียมละลาย การปลูกกระดูก ล้มเหลว และจะมีผลต่ออัตราประสบความสำเร็จของรากเทียมด้วย(2)
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลที่ไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าควรจะให้หรือไม่ให้ยาต้านจุลชีพ ในการป้องกันการติดเชื้อในงานศัลยกรรมรากเทียมหรือถ้าให้ควรจะให้ในปริมาณและช่วงเวลาเท่าใด แต่มีข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้
กรณีที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ถ้าเป็นการทำศัลยกรรมรากเทียมอย่างง่าย ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน ผู้ป่วยมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรง ทันตแพทย์ผู้ทำการฝังรากเทียมมีความชำนาญสูง ผู้ป่วยมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรง และไม่มีโรคหรือปัจจัยที่อาจมีผลต่อการยึดติดของรากเทียม อาทิเช่น เบาหวาน เคยได้รับรังสีบำบัด สูบบุหรี่ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น(2-3)
กรณีที่ควรจะให้ยาต้านจุลชีพเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายหลังการใส่รากเทียม ได้แก่กรณีที่ใส่รากเทียมหลายๆซี่ มีการปลูกกระดูกร่วมด้วย ผู้ป่วยมีคุณภาพของกระดูกที่ไม่ดี (ในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่หรือเป็นโรคกระดูกพรุน) ผู้ป่วยที่มีปัจจัยทางระบบที่มีผลต่อการหายของแผล หรือ การยึดติดของรากเทียม (ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ สเตียรอยด์ โรคเบาหวาน ได้รับการฉายรังสีหรือได้รับยาเคมีบำบัด) ศัลยแพทย์มีประสบการณ์หรือความชำนาญที่ไม่มากนัก มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรม เช่น เกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียหรือน้ำลายระหว่างการทำศัลยกรรม หรือเกิดกระดูกตายบางส่วน จากใช้น้ำเกลือฉีดระบายความร้อนของหัวเจาะกระดูกไม่เพียงพอ หรือหัวเจาะกระดูกที่มีความแหลมคมไม่เพียงพอจนเกิดความร้อนสูงขึ้น(2, 4-6)
โดยยาต้านจุลชีพที่ควรจะให้ได้แก่ amoxicillin 1 -2 กรัมก่อนทำศัลยกรรม 1 ชั่วโมง ในกรณีที่ทำศัลยกรรมรากเทียมหลายซี่ หรือร่วมกับการปลูกกระดูก และให้ amoxicillin/clavulanate 1 กรัม ก่อน ในกรณีที่ทำการปลูกกระดูกในโพรงอากาศแม็กซิลล่า ทำศัลยกรรม 1 ชั่วโมง และในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ยาในกลุ่ม penicillin ควรจะพิจารณาให้ clindamycin 600 มิลลิกรัม ก่อนทำศัลยกรรม 1 ชั่วโมง สำหรับช่วงเวลาที่ให้ภายหลังการทำศัลยกรรมก็แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1 ครั้ง และภายหลังการทำศัลยกรรม 6 ชั่วโมง หรือ 3 -5 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการผ่าตัด และสุขภาพของผู้ป่วย เช่นถ้าใส่รากเทียม หลายซี่ร่วมกับการปลูกกระดูก และผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการหายของแผล ศัลยแพทย์ควรจะพิจารณาให้ยาต้านจุลชีพนานถึง 5 วันก็ได้(2) แต่อย่างไรก็ตามศัลยแพทย์ควรจะพิจารณาให้ยาต้านจุลชีพนานขึ้น ถ้าตรวจพบว่ามีการอักเสบ หรือมีลักษณะเบื้องต้นของการติดเชื้อ