บทความ
ผลของน้ำตาลไซลิทอลต่อการป้องกันการเกิดโรคฟันผุ (The effect of xylitol on dental caries prevention)
กระบวนการเกิดฟันผุ เกิดจากแบคทีเรียย่อยสลายน้ำตาลได้เป็นกรดที่สามารถทำให้เกิดการละลายแร่ธาตุจากผิวเคลือบฟัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการละลายของแร่ธาตุมากกว่าการคืนกลับของแร่ธาตุซึ่งนำไปสู่การเกิดฟันผุได้ (1) จากกระบวนการดังกล่าวจะเห็นว่าหากปราศจากน้ำตาลกระบวนการเกิดฟันผุก็ไม่สามารถเริ่มต้นขึ้นได้ ดังนั้นจึงมีคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกให้ลดการบริโภคน้ำตาล หรือการใช้สารให้ความหวานชนิดอื่นทดแทน เช่น น้ำตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohol) (2)
การยับยั้งการเกิดโรคฟันผุของน้ำตาลไซลิทอล เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำตาลไซลิทอลมีผลต่อเชื้อแบคทีเรีย และการคืนกลับแร่ธาตุสู่ผิวฟัน โดยผลต่อเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้นเมื่อเชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ นำไซลิทอลเข้าสู่เซลล์และผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึมเพื่อให้ได้พลังงาน จะทำให้เกิดการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ และทำให้เกิดการสร้างแวคิวโอล (vacuoles) ภายในเซลล์และมีการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ นำไปสู่การตายของเซลล์ในที่สุด (3,4) นอกจากนี้ยังเกิดการยับยั้งวิถีไกลโคไลซิส (5) เชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ จึงต้องทำการดีฟอสฟอรีเลชั่น (dephosphorylation) ไซลิทอล-5-ฟอสเฟต และใช้พลังงานในการกำจัดดีฟอสฟอรีเลชั่น โมเลกุล (dephosphorylation molecule) ออกจากเซลล์ ดังนั้นนอกจากแบคทีเรียจะไม่ได้พลังงานจากการเมตาบอลิซึมน้ำตาลไซลิทอลแล้ว ยังสูญเสียพลังงานจากการขับโมเลกุลออกจากเซลล์ด้วย น้ำตาลไซลิทอลจึงสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ ได้เนื่องจากทำให้แบคทีเรียขาดสารอาหารและพลังงาน ทำให้ปริมาณของเชื้อในคราบจุลินทรีย์ลดลง (4,6,7)
เมื่อเชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ไม่สามารถเปลี่ยนไซลิทอลไปเป็นพลังงานได้ การสร้างกรดจึงลดลงตามไปด้วย ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างของคราบจุลินทรีย์ (plaque pH) ไม่ลดต่ำลง (8) อีกทั้งการเมตาบอลิซึมของน้ำตาลไซลิทอลยังทำให้ความเข้มข้นของแอมโมเนียและกรดอะมิโน ภายในคราบจุลินทรีย์เพิ่มมากขึ้นซึ่งช่วยลดความเป็นกรดของคราบจุลินทรีย์ได้ (9) นอกจากนี้น้ำตาลไซลิทอลยังไปขัดขวางการสังเคราะห์โปรตีนและลดการสร้างพอลิแซ็กคาไรด์ภายนอกเซลล์ (extracellular polysaccharide) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยส่งเสริมการยึดเกาะของแบคทีเรียกับผิวฟัน การออกฤทธิ์ของน้ำตาลไซลิทอลนั้นให้ผลจำเพาะกับเชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ และเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ซอบรินัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคฟันผุ โดยไม่ส่งผลต่อเชื้อชนิดอื่นๆ ในช่องปาก (10,11)
สำหรับกลไกการคืนกลับแร่ธาตุของน้ำตาลไซลิทอลยังมีการศึกษาทางคลินิก ปริมาณน้อยและไม่มีความชัดเจนว่าการคืนกลับแร่ธาตุเป็นผลมาจากการกระตุ้นการหลั่งน้ำลายเมื่อเคี้ยวหมากฝรั่ง ผลจากคุณสมบัติของน้ำตาลไซลิทอลเอง หรือจากทั้งสองอย่างร่วมกัน
อย่างไรก็ตามน้ำตาลไซลิทอลมีบทบาทในการคงระดับปริมาณของแคลเซียมและฟอสเฟตไอออน (stabilizing effect) ในน้ำลายและคราบจุลินทรีย์ ช่วยให้ไอออนอยู่ในสภาวะอิ่มตัว (supersaturated stage) ตลอดเวลา โดยไซลิทอลจะทำหน้าที่เลียนแบบโปรตีนในน้ำลาย (salivary peptides) เช่น โปรตีนสแตทเธอริน (statherin) ซึ่งสามารถยับยั้งการตกตะกอนของเกลือแคลเซียมฟอสเฟตได้ โดยไซลิทอลจะจับกับแคลเซียม กลายเป็นตัวนำแคลเซียม (calcium carrier) ในการเกิดการคืนกลับแร่ธาตุและส่งเสริมการดูดซึมของแคลเซียมเข้าสู่ผิวฟัน ความคงที่ของการจับกันระหว่างไซลิทอลและแคลเซียมขึ้นกับอุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิต่ำจะมีความแข็งแรงระหว่างพันธะที่จับกันของไซลิทอลและแคลเซียมมากกว่า นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าการบริโภคน้ำตาลไซลิทอลสัมพันธ์กับปริมาณของแคลเซียมไอออนในคราบจุลินทรีย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณแคลเซียมที่เพิ่มขึ้นร่วมกับความสามารถในการคงค่าความเป็นกรดด่างของคราบจุลินทรีย์ของน้ำตาลไซลิทอลช่วยยับยั้งการสลายแร่ธาตุและช่วยส่งเสริมการคืนกลับแร่ธาตุสู่ผิวฟันได้เช่นเดียวกันกับโปรตีนในน้ำลาย (12, 13)
สมาคมทันตแพทย์อเมริกัน (American Dental Association; ADA) ปี 2011 ได้ให้คำแนะนำในการใช้น้ำตาลไซลิทอลในการป้องกันโรคฟันผุไว้ ดังนี้ แนะนำให้เคี้ยวหมากฝรั่งผสมน้ำตาลแอลกอฮอล์ (น้ำตาลไซลิทอล ร้อยละ 100 หรือน้ำตาลไซลิทอลผสมกับน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดอื่น) นาน 10-20 นาที หลังรับประทานอาหาร หรือบริโภคลูกอมหรือท็อฟฟี่ผสมน้ำตาลไซลิทอลหลังรับประทานอาหาร โดยปล่อยให้ละลายในช่องปากอย่างช้าๆ โดยบริโภคปริมาณ 5-8 กรัมต่อวัน โดยแบ่งความถี่ 2-3ครั้งต่อวัน (14)
ชมรมทันตกรรมสำหรับเด็กแห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 2011 ได้สรุปแนวทางการใช้น้ำตาลไซลิทอลในการป้องกันโรคฟันผุไว้ ดังนี้ ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคฟันผุระดับกลางและระดับสูง แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลไซลิทอล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม ไซรัป โดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ปริมาณที่ได้รับอยู่ที่ 3-8 กรัมต่อวัน ความถี่ในการบริโภคไม่ควรน้อยกว่า 2 ครั้งต่อวัน และควรทำการประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคฟันผุของผู้ป่วยทุก 6 เดือน เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางในการใช้น้ำตาลไซลิทอล (15)
การบริโภคน้ำตาลไซลิทอลตามปริมาณที่ใช้ในการรักษา (therapeutic dose) มีความปลอดภัยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองต้องระมัดระวังการบริโภคน้ำตาลไซลิทอลของเด็ก หากบริโภคเกินปริมาณที่แนะนำต่อวันทำให้ผลข้างเคียง ได้แก่ ท้องเสียหรืออุจจาระร่วง (osmotic diarrhea) ได้ โดยหากเกิดผลข้างเคียงให้หยุดการบริโภคน้ำตาลไซลิทอลทันที (15)