บทความ
ฝีปริทันต์ (Periodontal abscess)
ฝีปริทันต์ (Periodontal abscess) เป็นสภาวะของอวัยวะปริทันต์ที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็วซึ่งมักจะนำให้ผู้ป่วยมารับการรักษาในขณะที่เรายังสามารถเห็นการเกิดโรคอย่างชัดเจน มีผู้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “เป็นรอยโรคที่มีการทำลายอวัยวะปริทันต์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จำกัดและพบเห็นได้โดยง่ายจากการตรวจช่องปากโดยมีการสะสมของหนอง (pus) ภายใต้ผนังของเหงือกของร่องลึกปริทันต์” มีรายงานความชุกของการเกิดฝีปริทันต์ที่ 8-14% ซึ่งจัดเป็นอันดับสามของสภาวะฉุกเฉินทางทันตกรรมทั้งหมด โดยพบได้ในทุกช่วงของการรักษาโรคปริทันต์ ทั้งนี้ประมาณ 30% ของผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ประมาณ 15% ของผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษา ประมาณ 40% ของผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงการรักษาประคับประคองและประมาณ 4% ของผู้ป่วยที่มีการรักษาเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้นพบว่ามีการเกิดฝีปริทันต์ขึ้น โดยมีรายงานว่าประมาณ 60% ของร่องลึกปริทันต์ที่มีความลึกมากกว่า 6 มม.เมื่อเริ่มรักษาสามารถพบฝีปริทันต์ได้
สาเหตุการเกิด แยกออกเป็นสองกรณีดังนี้
- กรณีที่พบว่ามีการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ สาเหตุอาจมาจากการหลงเหลืออยู่ของร่องลึกปริทันต์ที่คดเคี้ยว การมีการปิดของปากร่องลึกปริทันต์ ในกรณีของการเกิดฝีปริทันต์ในระหว่างการรักษานั้นมักมีสาเหตุมาจากการหลงเหลืออยู่ของหินน้ำลายในร่องลึกปริทันต์ที่ลึกมากๆภายหลังการขูดหินน้ำลายหรืออาจมีการผลการผลักดันเอาหินน้ำลายเข้าไปในเนื้อเยื่อหรือการได้รับยาปฏิชีวนะทางระบบโดยไม่ได้ให้การขูดหินน้ำลายและเกลารากฟันใต้เหงือก (subgingival debridement) นอกจากนี้มีรายงานการเกิดฝีปริทันต์ภายหลังการได้รับยา nifedipine
- กรณีที่ไม่พบว่ามีการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ สาเหตุอาจมาจากมีการติดอัดของสิ่งแปลกปลอม (impactation of foreign bodies) การเกิด perforation ของผนังคลองรากจากการรักษาคลองรากฟัน การเกิดมี lateral cysts การมี local factor ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของรากฟัน (eg. cemental tear, root resorption, invaginated tooth, cracked tooth)
การวินิจฉัย
การตรวจช่องปากจะพบการยกตัวของเหงือกด้านข้างของฟันเป็นรูปไข่ อาการมีตั้งแต่รำคาญเล็กน้อยจนถึงเจ็บมาก มีการกดเจ็บและปวดบวมของเหงือก ฟันโยกและลอยตัวขึ้นรวมถึงมีการเจ็บฟันเมื่อสัมผัสถูกและมีกลิ่นปาก ผู้ป่วยอาจมีไข้ อ่อนเพลีย เม็ดเลือดขาวสูงและมีการบวมของต่อมน้ำเหลือง การตรวจทางภาพรังสีอาจพบมีลักษณะปกติหรือพบมีการละลายของกระดูกเบ้าฟัน ประวัติทางทันตกรรมในบริเวณที่เกิดฝีปริทันต์มีส่วนในการบ่งชี้ต้นเหตุของการเกิดฝีปริทันต์ เช่น ประวัติการรักษาทางปริทันต์ การรักษาคลองรากฟันหรือการเคยเกิดฝีปริทันต์มาก่อนซึ่งมีความสำคัญต่อการให้การรักษาที่เหมาะสม
การจำแนกประเภทของฝีปริทันต์
- จำแนกตามตำแหน่ง
- Gingival abscess เป็นการบวมและเจ็บเฉพาะตำแหน่งโดยจะจำกัดอยู่ที่ marginal และ interdental gingiva โดยมีสาเหตุหลักจากการมี impaction of foreign objects
- Periodontal abscess เป็นการบวมและเจ็บของเหงือกเช่นเดียวกับ gingival abscess แต่จะเกี่ยวข้องกับอวัยวะปริทันต์ที่อยู่ลึกลงไปและอยู่เลยระดับของ mucegingival line โดยมักจะเกิดร่วมกับการมี deep pockets, furcation involvement และ vertical ossesous defects
- จำแนกตามระยะเวลาการเกิดโรค
- Acute periodontal abscess ลักษณะของโรคประกอบด้วยการกดเจ็บ มีอาการตึงและมีหนอง
- Chronic periodontal abscess มักเกิดร่วมกับการมี sinus tract และไม่ปรากฏอาการทางคลินิก
- จำแนกตามจำนวน
- Single periodontal abscess เกี่ยวข้องกับการมีปัจจัยเฉพาะที่และเกิดเป็น abscessจากการมีการขัดขวางการระบายทาง periodontal pocket
- Multiple periodontal abscess มักเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคทางระบบ (medically compromised) และผู้ป่วยโรคปริทันต์ที่ไม่ได้รับการรักษาที่ได้รับ systemic antibiotics เพื่อรักษาโรคอื่นๆ ทั้งนี้ยังพบว่าเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยมี external root resorption
การวินิจฉัยแยกโรค ทำได้โดยอาศัยความแตกต่างของอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยจากการทำ pulp vitality test ตรวจฟันผุและร่องลึกปริทันต์ ตำแหน่งของ abscess และการตรวจทางภาพรังสี การรักษา มีการนำเสนอขั้นตอนการให้การรักษาดังนี้
การให้การรักษา gingival abscess
- Elimination of foreign objects
- Careful thorough debridement
- Drainage through sulcus
- Rinse with sterile saline
- Follow up after 24-48 hours
การให้การรักษา periodontal abscess
- Drainage through pocket
- Scaling of the tooth surface
- Compression and debridement of soft tissue wall
- Irrigate with sterile saline
- Follow up after 24-48 hours
การให้ยาปฏิชีวนะร่วมในการรักษายังไม่ได้รับการยอมรับอย่างทั่วถึงยกเว้นในบางกรณี
- มีภาวะทางระบบเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนเช่นการมีไข้และอ่อนเพลียอย่างชัดเจน
- จำเป็นต้องมีการให้ pre-medication
- เมื่อการติดเชื้อไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่
ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่สามารถระบายหนองได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือขนาดของฝีที่ใหญ่และมีการ บวมขยายวงกว้างและมีอาการปวดที่รุนแรงก็เป็นสภาวะที่จำเป็นต้องมีการให้ยาปฏิชีวนะ
มีคำแนะนำในการให้การรักษาอยู่หลายรูปแบบ
- การให้การรักษาแบบผสมผสาน : Basic treatments (incision, drainage, debridement) + antibiotic therapies โดยยาในกลุ่ม penicillins เป็น first drug of choice
- การให้การรักษาแบบอนุรักษ์ : เน้นการได้คืนมาของ attachment level ประกอบด้วยการทำ Drainage ผ่านทาง periodontal pocket + ล้างด้วยน้ำเกลือ + supragingival scaling + ให้ tetracycline 1g/day เป็นเวลา 2 สัปดาห์
ในกรณีของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น refractory periodontitis มีคำแนะนำโดยให้ทำ full-mouth scaling ร่วมกับการให้ systemic antibiotics (ภายหลังการทำmicrobial susceptibility แล้ว) การให้การรักษาโดยการทำศัลยกรรม (gingivectomy/flap procedure) นั้นแนะนำให้ทำในกรณีของ chronic periodontal abscess ที่มี deep vertical defect หรือกรณีที่มี post-prophylaxis periodontal abscsess (อาจมีการหลงเหลือของหินน้ำลาย)
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการให้การรักษาฝีปริทันต์ได้แก่การเกิด bacteremia (dissemination of infection) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตามหลังการให้การรักษา (following treatment) และที่เกี่ยวข้อง กับฝีที่ไม่ได้รับการรักษา (in relation to an untreated abscess) ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินสภาวะทางร่างกายของผู้ป่วยก่อนให้การรักษารวมทั้งประเมิน ความรุนแรงของโรคเมื่อให้การรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้
กล่าวได้ว่าฟันที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝีปริทันต์นั้นมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีและเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันเนื่องจากมีหลากหลายสาเหตุของการเกิดฝีปริทันต์ ดังนั้นการตรวจทั้งในช่องปากและการตรวจเสริม (ภาพรังสี การตรวจเชื้อที่เกี่ยวข้อง) และให้การวินิจฉัยสาเหตุก่อโรคเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพและที่ลืมไม่ได้คือการประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการประสบความสำเร็จในการรักษาและรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ขอให้ทุกคนมีสติรักษาผู้ป่วยอย่างปลอดภัยทุกคนครับ