บทความ
สุขภาพช่องปากและอายุคาดเฉลี่ยแบบมีสุขภาพดี
โดย ดร.เพ็ญแข ลาภยิ่ง
เป้าหมายด้านสุขภาพไทยคือ คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยแบบมีสุขภาพดี (Health Adjusted Life Expectancy; HALE) 72 ปีใน 20 ปีข้างหน้า ภายใต้การคาดการณ์ว่าประเทศจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)[1] ใน พ.ศ. 2568 และในปี 2573 คาดว่าจะมีจำนวนผู้สูงอายุถึง 17.6 ล้านคน (ร้อยละ 26.3 ของประชากรประเทศ)
โรคในช่องปากที่สำคัญคือ ฟันผุซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันของคนไทยเนื่องจากผุแล้วทอดเวลาในการรักษาจนลงเอยที่การถอนฟัน ส่วนโรคปริทันต์อักเสบเริ่มเป็นปัญหาในกลุ่มวัยทำงานตอนปลาย (อายุ 45-59 ปี) และเป็นโรคสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ในเบื้องต้น โรคในช่องปากรบกวนการรับประทานอาหารและภาวะโภชนาการ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคทางระบบ[2,3,4,5]และความจำเสื่อม[6,7] ส่วนฟันผุในเด็กเล็ก นอกจากจะรบกวนการรับประทานอาหาร การนอน ส่งผลต่อพัฒนาการ[8,9] และคุณภาพชีวิตของเด็กแล้ว[10,11] เชื้อโรคที่สะสมยังทำให้เป็นโรคภูมิแพ้และโรคหัวใจรูมาติกในเด็ก[12] ยังพบว่าฟันน้ำนมผุสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุในฟันแท้[13] ส่วนการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุสัมพันธ์กับการบั่นทอนอายุ[14,15,16,17,18] การสูญเสียฟันแท้ทั้งปากทำให้สูญเสียปีสุขภาพดี (YLD) มากกว่าโรคในช่องปากอื่นๆ และมีการสูญเสียเพิ่มขึ้นใน พ.ศ. 2556 (ตาราง1) การมีจำนวนฟันแท้คงอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุจึงมีผลต่อคุณภาพชีวิตและความยืนยาวของชีวิต[19] จึงควรดูแลรักษาฟันแท้ไม่ให้สูญเสียในทุกช่วงวัยเพื่อให้มีจำนวนฟันแท้คงเหลือมากที่สุดไปจนถึงช่วงวัยสูงอายุเพื่อเพิ่มอายุคาดเฉลี่ยแบบมีสุขภาพดี
การสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 7 พ.ศ. 2555[20] พบว่าปัญหาหลักในผู้สูงอายุคือการสูญเสียฟัน ผู้สูงอายุ 60-74 ปี ร้อยละ 88.3 มีการสูญเสียฟันบางส่วนและร้อยละ 7.2 สูญเสียฟันทั้งปาก โดยผู้อยู่ในเขตเมืองทุกภาคสูญเสียฟันทั้งปากมากกว่าเขตชนบท ในกรุงเทพมหานครสูญเสียฟันมากกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ภาพ 1) มีเพียงร้อยละ 43.3 ที่มีฟันหลังสบกันอย่างน้อย 4 คู่สบซึ่งเพียงพอต่อการบดเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน หมายความว่าอีกร้อยละ 56.7 มีปัญหาการบดเคี้ยว ฟันแท้ที่เหลืออยู่ในช่องปากมีปัญหาโรคปริทันต์อักเสบที่กระดูกรองรับรากฟันถูกทำลายร้อยละ 32.1 โดยร้อยละ 11.4 เป็นโรคปริทันต์อักเสบที่อยู่ในระดับรุนแรงมาก (มีร่องลึกปริทันต์ตั้งแต่ 6 มิลลิเมตรขึ้นไป) ซึ่งเสี่ยงต่อการอักเสบ ปวดบวม ฟันโยกและสูญเสียฟัน ยังพบฟันผุที่ยังไม่ได้รับการรักษาร้อยละ 48.3 และร้อยละ 17.2 มีรากฟันผุที่สัมพันธ์กับเหงือกร่นซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาจากช่วงอายุต้นๆ
เด็กเริ่มมีฟันผุตั้งแต่อายุ 8 เดือนซึ่งฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นเมื่ออายุ 6 เดือน จากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2555 พบว่าเด็กอายุ 3 ปีมีฟันน้ำนมผุร้อยละ 51.7 และเพิ่มขึ้นในเด็กอายุ 5 ปี (ร้อยละ 78) ดังภาพ 2 ในฟันแท้พบว่าเริ่มผุที่ฟันกรามซี่ที่หนึ่งซึ่งขึ้นเป็นซี่แรกเมื่ออายุ 6 ปีและเป็นซี่หลักของช่องปาก โดยร้อยละ 52.3 มีประสบการณ์เป็นโรคฟันผุและความชุกเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเป็นร้อยละ 62, 86 และ 97 ในกลุ่มอายุ 15, 35-44 และ 60-74 ปี ตามลำดับ (ภาพ 3) วัยทำงานมีฟันครบ 24 ซี่ ร้อยละ 93.3 และในกลุ่มอายุ 60-74 ปี มีเพียงร้อยละ 43.6 โรคปริทันต์เป็นสาเหตุร่วมของการสูญเสียฟันในวัยสูงอายุซึ่งพบร้อยละ 89 และ 92 ในกลุ่มอายุ 60-74 และ 80-89 ปีตามลำดับ [20]
สุขภาพช่องปากมีความสำคัญในทุกกลุ่มอายุและมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการสูญเสียฟันได้ทุกช่วงอายุ การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เป็นการดูแลตนเองที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในทุกกลุ่มวัยแม้ในเด็กกลุ่มที่เสี่ยงสูงต่อโรคฟันผุภายใต้การแนะนำดูแล[1] การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคยังมีความสำคัญตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรก (ลูกรักฟันดีเริ่มที่ซี่แรก) และป้องกันฟันกรามแท้ซี่แรกผุซึ่งเป็นฟันซี่ที่ 6 ในช่องปาก (save the sixth) เมื่อประชาชนเป็นโรคในช่องปาก จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อหยุดยั้งโรค
มาตรการในระดับนโยบายที่ครอบคลุมการบริการส่งเสริม ป้องกัน และรักษาเพื่อเก็บฟันในทุกกลุ่มอายุ มีความคุ้มค่าสามารถลดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพช่องปากได้เพื่อให้ทุกกลุ่มวัยมีสภาวะสุขภาพช่องปากดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุคาดเฉลี่ยแบบมีสุขภาพดีเพิ่มขึ้น